หน่วยที่ ๑ ลักษณะและขอบข่ายของรัฐศาสตร์
๑.๑ แนวคิดและความหมายของรัฐศาสตร์ ๑.๑.๑ แนวคิดเชิงปรัชญา เชิงสถาบันและโครงสร้าง รวมทั้งเชิงระบบ
๑) การศึกษารัฐศาสตร์ตาม “แนวคิดเชิงปรัชญา”
เป็นการศึกษารัฐศาสตร์ตามแนวคิดเชิงปรัชญาของนักปราชญ์ ที่มุ่งเสนอแนะแสวงหา”สิ่งที่ควรจะเป็น”หรือ”สิ่งที่พึ่งปรารถนา”
๒) การศึกษารัฐศาสตร์ตาม “แนวคิดเชิงสถาบันและโครงสร้าง”
มี ๓ ความหมายคือ ความเป็นศาสตร์เกี่ยวกับรัฐ เกี่ยวกับการปกครอง และเกี่ยวกับการเมือง ทั้ง ๓ ความหมายมีเป้าหมายเหมือนกันคือ การอธิบายและเสนอแนวทางในการสถาปนารัฐและการปกครองที่ดี ซึ่งสามารถจัดสรรหรือแบ่งปันผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มชนต่างๆได้อย่างทั่วหน้า
๑) ความเป็นศาสตร์เกี่ยวกับรัฐ
๑.๒.๑ ความเป็นมาของรัฐศาสตร์
เดิมเป็นแขนงของสังคมศาสตร์ จำแนกได้ ๕ ยุค คือ
๑) รัฐศาสตร์ยุคสมัยที่เน้นปรัชญา (๕๐๐-๓๐๐ ก่อนคคริสต์สักการ)
๑.๓.๑ เนื้อหาและวิธีการศึกษาในแนวปรัชญา
วิธีการศึกษารัฐศาสตร์ตามแนวปรัชญาไม่ได้อิงระเบียบวิ๊ทางวิทยาศาสตร์มากนักแต่ เป็นการอิงกับความเชื่อของคนที่เป็นนักปราชญ์เป็นสำคัญ
- โสกราตีส ตั้งคำถามเกี่ยวกับความดี ความยุติธรรม และเป้าหมาของรัฐ ซึ่งคำถามเหล่านี้เป็นแนวทางของปรัชญาการเมืองที่พยายามแสวงหารูปแบบการกระทำหรือกิจกรรม ระเบียบแบบแผนทางการเมืองที่ถูกต้องและดีงาม
- เพลโต เสนอในงานเขียน “อุดมรัฐ”(Republic) ว่ารัฐในอุดมคติจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมี “ราชาปราชญ์”(Philosopher King)
- อริสโตเติล เสนอในงานเขียน “การเมือง”(Politic) ว่า รัฐในอุดมคติ คือ “รัฐที่มีการปกครองระบอบอภิชนาธิปไตย” เน้นคุณสมบัติของคนกับการปกครองตามสัดส่วนที่ยึดถือความดีเป็นหลัก โดยพิจารณาจากจำนวนผู้ปกครองและเป้าหมายในการใช้อำนาจ เป็นหลัก
- มาเคียเวลลี เสนอในงานเขีนเรื่อง "เจ้า”(The Prince) ว่าการเมืองเป็นเรื่องของศิลปะการใช้อำนาจ เป้าหมายของการเมืองอยู่ที่ผลประโยชน์ส่วนรวม เพื่อเป้าหมายดังกล่าวผู้ปกครองย่อมใช้วิธีที่ไม่มีศีลธรรมได้ “เข็มแข็งดุจราชสีห์ เจ้าเลห์ดั่งสุนัขจิ้งจอก”
- โธมัส ฮ้อบส์ เสนอในงานเขียน “Leviathan” ว่า มนุษย์นั้นอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติที่แสวงหาความมั่นคงและปลอดภัย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดั่งกล่าวมนุษย์จึงต้องสละสิทธิ์ตามธรรมชาติ บางส่วนแก่ผู้ปกครองหรือองค์อธิปัตย์
- จอห์น ล็อค เสนอในงานเขียน The Second Treatise of Civil Government ว่า รัฐบาลที่ดีเกิดคือรัฐบาลที่เกิดจากการทำ ”สัญญาประชาคม” (Social Contract) เพื่อทำหน้าที่เป็นองค์กรในการใช้อำนาจส่วนกลางร่วม หากไม่สามรถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพประชาชนสามารถเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ + คาร์ลมากซ์ เสนองานเขียน The Communist Manifesto ว่ารัฐเป็นเครื่องมือที่ชนชั้นนายทุนกดขี่ ข่มเหง ชนชั้นกรรมมาชีพ สังคมที่ดี คือ “สังคมคอมมิวนิสต์”ที่ปราศจากรัฐและผู้ปกครองโดยที่ทุกคนมีความเสมอภาคกัน
๒) การศึกษารัฐศาสตร์ตาม “แนวคิดเชิงสถาบันและโครงสร้าง”
- มุ่งอธิบายว่ารัฐและการปกครองที่ดีจะต้องเป็นรัฐที่มีสมรรถนะ เสถียรภาพและมีการแบ่งหน้าที่กันทำตามความชำนาญเฉพาะด้านในการทำหน้าที่ของสถาบันการเมืองการปกครอง
- รวมทั้งเพื่อ ถ่วงดุลอำนาจระหว่างสถาบันด้วยกันเอง โดยเฉพาะ สถาบันนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ
- จึงเป็นการศึกษาที่เน้นแบบแผนกิจกรรมหรือการกระทำในรูปของกลุ่มหรือองค์กรที่จัดตั้งทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
- เพื่อจุดมุ่งหมายในการจัดระเบียบ จัดสรรผลประโยชน์และยุติปัญหาข้อขัดแย้งในสังคม
- แนวคิดเชิงสถาบันและโครงสร้าง เป็นรากฐานสำคัญของการสร้างแบบแผนกิจกรรม ระเบียบความสัมพันธ์ ขอบเขตอำนาจ
- มุ่งอธิบายว่า รัฐและการปกครองที่ดีนั้นจะต้องประกอบด้วยส่วนย่อยต่างๆที่มีการทำงานอย่างเป็นลำดับขั้น มีการประสาน สอดคล้อง มีปฏิสัมพันธ์และการปรับตัว แลส่งผลต่อสมรรถภาพโดยรวมของทั้งระบบ
- แนวคิดเชิงระบบ เป็นรากฐานของการจัดจำแนกปัจจัยส่วนประกอบ การลำดับขั้นตอนการทำงาน และเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของกลไก กระบวนการส่วนย่อยต่างๆ ภายในระบบการเมืองไทย
มี ๓ ความหมายคือ ความเป็นศาสตร์เกี่ยวกับรัฐ เกี่ยวกับการปกครอง และเกี่ยวกับการเมือง ทั้ง ๓ ความหมายมีเป้าหมายเหมือนกันคือ การอธิบายและเสนอแนวทางในการสถาปนารัฐและการปกครองที่ดี ซึ่งสามารถจัดสรรหรือแบ่งปันผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มชนต่างๆได้อย่างทั่วหน้า
๑) ความเป็นศาสตร์เกี่ยวกับรัฐ
- มุ่งอธิบายเกี่ยวกับรัฐในมิติต่างๆ เช่นการกำเนิด องค์ประกอบ หน้าที่และจุดมุ่งหมายของรัฐ พัฒนาการ รูปแบบ โครงสร้าง
- การกำเนิดของรัฐ ศึกษาในหลายทฤษฏี ได้แก่ทฤษฏีเทวสิทธิ์ ทฤษฏีสัญญาประชาคม ทฤษฏีกำลัง ทฤษฏีธรรมชาติ เป็นต้น
- ศึกษาโครงสร้างของรัฐ โครงสร้างของรัฐบาล ระบบกลไกราชการ ชนชั้นนำทางอำนาจการปกครองและเศรษฐกิจ โครงสร้างทางอุดมการณ์
- ศึกษาอำนาจอธิปไตยของรัฐ ได้แก่ อำนาจอธิปไตยภายในรัฐซึ่งเน้นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ และอำนาจภายนอกรัฐซึ่งเน้นเอกราช
- ศึกษาสิทธิเสรีภาพ ของประชาชน ได้แก่การรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
- มุ่งอธิบายเกี่ยวกับอำนาจสูงสุดในการปกครองรัฐ รูปแบบและกลไกสถาบันในการปกครองของรัฐ แบบแผนและกระบวนการในการปกครองของรัฐ ความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างองค์กรปกครองส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่น
- ศึกษากระบวนการตราและบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
- การอธิบายเกี่ยวกับ อำนาจสูงสุดในการปกครองของรัฐ ได้แก่ การกำหนดขึ้น ความเป็นเจ้าของ และวิธีการนำอำนาจไปใช้
- มุ่งอธิบายเกี่ยวกับลัทธิทางการเมือง โครงสร้างสถาบันและการทำหน้าที่ของสถาบันทางการเมือง พัฒนาการทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมือง กระบวนการทางการเมือง การตรวจสอบทางการเมือง การควบคุมโทษทางการเมือง
- รัฐศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับ รัฐ การปกครอง และการเมือง ดังนั้นการเมือง จึงเป็นส่วนหนึ่งของรัฐศาสตร์
- ข้อแตกต่างระหว่างรัฐศาสตร์กับการเมืองนั้น จุดสำคัญอยู่ที่ ขอบเขตของการศึกษา
- รัฐศาสตร์มีขอบเขตการศึกษาที่กว้าง คลอบคลุมมากกว่า การเมือง ขณะที่การเมืองในมีขอบเขตที่แคบและละเอียดกว่า
- เช่น เมื่อกล่าวถึงคำความ "อำนาจ” รัฐศาสตร์จะสนใจถึงอำนาอธิปไตยของรัฐ กระบวนวิธีการใช้อำนาจสูงสุดในการปกครอง และกระบวนวิธีในการยึดกุมอำนาจหรือควบคุมอำนาจนั้นด้วย แต่ถ้าเป็นการเมืองจะสนใจเฉพาะกระบวนวิธีในการยึดกุมอำนาจหรือควบคุมอำนาจเท่านั้น
- การเมืองมีจุดเด่นคือ สามารถเพิ่มความละเอียดลึกซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่ละเอียดและแยกย่อยเฉพาะด้านได้มากขึ้น
๑.๒.๑ ความเป็นมาของรัฐศาสตร์
เดิมเป็นแขนงของสังคมศาสตร์ จำแนกได้ ๕ ยุค คือ
๑) รัฐศาสตร์ยุคสมัยที่เน้นปรัชญา (๕๐๐-๓๐๐ ก่อนคคริสต์สักการ)
- เกิดขั้นใน ยุคอารยธรรมกรีกโบราณ โดยอิทธิพลทางความคิดของนักปราชญ์ที่สนใจเกี่ยวกับ รัฐ การปกครอง และการเมือง
- มุ่งแสวงหาเป้าหมายอันพึ่งปรารถนา โดยอาศัยบรรทัดฐานเชิงคุณค่านิยมในทางศีลธรรมและจริยธรรมเป็นเครื่องแยกระหว่างดีกับเลว
- มีนักคิดคนสำคัญได้แก่ เพลโต(บิดาปรัชญาการเมืองเสนอ ราชาปราชญ์),อริสโตเติล(บิดาวิชารัฐศาสตร์)เพราะเป็นคนแรกที่แยกรัฐศาสตร์ออกจากสังคมศาสตร์,
- เน้นการศึกษาในเชิงปรัชญาและศีลธรรม ได้รับอิทธิพลทางความคิดในรูปแบบตำรา คำสอน และบทสนทนา
- เกิดขึ้นในอาณาจักรโรมัน โดยมีการเชื่อมโยงปรัชญากรีกกับ ความคิดทางการเมืองของตะวันตก
- มุ่งสร้างความผูกพันระหว่างมนุษย์ที่เท่าเทียมกันทั้งโลกเหนือความผูกพันเฉพาะชุมชน อิงบรรทัดฐานของกฎธรรมชาติศักดิ์ศรีและความเสมอภาคของมนุษย์
- ถือว่า กฎหมาย คือแกนของวิชารัฐศาสตร์ เพราะผู้นำเป็นทหาร รวบรวมดินแดนต่างๆเข้ามาอยู่ เขตอำนาจการปกคราองเดียวกัน กฎหมายจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุม
- มีการประมวลกฎหมายขึ้น ในสมัยพระจักรพรรดิจัสติเนียน ค.ศ.๕๒๗- ๕๖๕
- มีการผสมผสานปรัชญากรีกจากสำนักสโตอิค กับความคิดทางการเมืองของตะวันตกที่เน้นความสัมพันธ์และความเสมอภาคและศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ จนกลายเป็นรากฐานทางกฎหมายและรัฐธรรมนูญ
- มุ่งสร้างจักรภพโลกแห่งศาสนาเดียว อิงบรรทัดฐานของหลักธรรมคำสอนของคริสต์ศาสนาและอิทธิพลของ ศาสนจักรเหนืออาณาจักร
- เกิดขึ้นยุคศักดินาหรือยุโรปยุคกลาง
- รัฐศาสตร์ในยุคนี้มีความผูกพันกับระบบจริยธรรมด้วย
- มุ่งวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับศิลปะในการใช้อำนาจและรักษาอำนาจ อิงบรรทัดฐนของความมั่นคงเข็มแข็งของอำนาจมากกว่าจรยธรรมหรือศีลธรรม
- มุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจและการใช้ประโยชน์ในการพัฒนา อิงบรรทัดฐานของการสร้างทฤษฏี การสร้างหลักการทงวิทยาศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ แนวโน้มในอนาคต + ในยุคหลังความทันสมัยจะเน้นการแก้ไขปัญหาสำคัญของประชาชนการเมืองโลก ตอบสนองความต้องการและยกระดบมาตรฐานคุณภาพชีวิตของมนุษยชาติในภาคประชาชนมากกว่าองค์กรของรัฐ
- มีแนวโน้มว่าจะขยายขอบข่ายออกไปมากขึ้น ทั้งด้านเทคนิควิธีการศึกษา เนื้อหาสาระและเป้าหมายการศึกษา ซึ่งครอบคลุมทังการเมืองทั่วไป เรื่องทฤษฎีและประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมือง เรื่องการเมืองเปรียบเทียบ
- เมื่อไทยได้รับอิทธิการจัดระเบียบการปกครองแบบตะวันตกจึงได้นำเอา ความรู้ทางรัฐศาสตร์เท่าที่จำเป็นมาสอนในโรงเรียนฝึกหัดข้าราชการพลเรือน และก่อตั้งเป็นโรงเรียน รัฐประศาสนศาสตร์ในเวลาต่อมา
- จุฬาลงกรณ์เปิดหลักสูตรเป็นแห่งแรก ตามด้วยธรรมศาสตร์ รามคำแหง และ มสธ.
- มี ๓ สาขาคือ การปกคราอง บริหารรัฐกิจหรือรัฐประศาสนศาสตร์ และระหว่างประเทศ.
- ขอบข่ายของรัฐศาสนาเริ่มขยายไปสู่ ภาคเอกชน มีความเป็นเอกชนและความเป็นวิชาชีพ ความชำนาญเฉพาะทางมากขึ้น
๑.๓.๑ เนื้อหาและวิธีการศึกษาในแนวปรัชญา
วิธีการศึกษารัฐศาสตร์ตามแนวปรัชญาไม่ได้อิงระเบียบวิ๊ทางวิทยาศาสตร์มากนักแต่ เป็นการอิงกับความเชื่อของคนที่เป็นนักปราชญ์เป็นสำคัญ
- โสคราตีส เกี่ยวกับเป้าหมายความต้องการและรูปแบบที่ดีที่สุดของรัฐ การกระทำทางการเมืองที่ดีและยุติธรรม
- เพลโต เกี่ยวกับรัฐในอุดมคติ ผู้ปกครองที่ดีหรือราชาปราชญ์
- อริสโตเติ้ล เกี่ยวกับรัฐในอุดมคติและระบอบการปกครองที่พึงปรารถนาตามหลักการปกครองตามสัดส่วน
- มาเคียเวลลี่ เกี่ยวกับศิลปะการใช้อำนาจและการปกครอง หน้าที่เพื่อความปลอดภัยอยู่ดีกินดี เป้าหมายสูงสุดคือ ส่วนรวม
- โธมัสฮ็อบ เกี่ยวกับ ความยุติธรรมในรูปกฎหมายที่องค์อธิปัตย์หรือผู้ปกครองใช้เพื่อเป้าหมายสูงสุด คือ ความปลอดภัย
- จอหน์ ล็อค เกี่ยวกับ อำนาจส่วนกลางที่คุ้มครองประชาชน และสิทธิในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลของประชาชน
- รุสโซ เกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดเป็นของชุมชนไม่ใช่รัฐบาล + มองเตสกิเออ เกี่ยวกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย รัฐบาลมีอำนาจจำกัด และมีการถ่วงดุลอำนาจ บริหาร ตุลการ นิติบัญญัติ
- เฮเกล เกี่ยวกับจิตใจและความคิดเป็นตัวกำหนดสู่สิ่งใหม่ รัฐบาลจะดีหรือเลวขึ้นกับความคิดและจิตใจของคนในขณะนั้น
- เบนธัม เกี่ยวกับพันธะทางอำนาจของรัฐบาลในการสร้างประโยชน์สูงสุด แก่คนจำนวนมากที่สุด
- มิลล์ เกี่ยวกับการรักษาผลประโยชน์ ระหว่างของปัจเจกชนและของส่วนรวม โดยการสร้างดุลยภาพระหว่างเสรีภาพของคนกับรัฐบาล
- มากซ์ เกี่ยวกับวัตถุเป็นตัวกำหนดความเปลี่ยนแปลง รัฐเป็นเครื่องมือของทุนนิยมในการ ขูดรีด สังคมคอมมิวนิสต์คือสังคมที่ไร้รัฐและชนชั้น
วิธีการศึกษาจะเน้นพฤติกรรม การเปรียบเทียบและการพัฒนา โดยอาศัยระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ ทางสังคมวิทยาและชีววิทยา
๑.๔.๒ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐศาสตร์กับสังคมวิทยาและเศรษฐศาสตร์
- มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับสถาบันทางการเมืองในฐานะที่เป็นส่วนประกอบย่อย ของระบบการเมือง
- สนใจในส่วนที่เป็นสถาบันการเมืองการปกครอง โครงสร้าง และหน้าที่ของสถาบันเหล่านั้น
- สถาบันนั้นไม่จะเป็นว่าต้องจัดตั้งอย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ จัดตั้งโดยรัฐหรือประชาชน แต่สำคัญที่ การกระทำหรือกิจกรรมทางการเมือง และมีผลกระทบต่อระบบการเมือง
- Eisenstad เห็นว่าสถาบันทางการเมืองจะมีลักษณะ ๑) มีแบบแผน กฎเกณฑ์และบรรทัดฐาน ๒) มีโครงสร้างและวิธีปฏิบัติกิจกรรมทางการเมือง ๓) มีปฏิสัมพันธ์กับสถาบันทางการเมืองอื่น
- Huntington เห็นว่าเสถียรภาพหรือความมั่นคงของสถาบันนั้นขึ้นกับ ๒ ปัจจัยคือ ๑) ขอบเขตของการสนับสนุน ๒) ระดับความเป็นสถาบัน
๑.๓.๓ เนื้อหาและวิธีการศึกษาแนวระบบและวัฒนธรรมเมือง
มีวิธีการศึกษาที่คล้ายคลึงกับแนวสถาบันและโครงสร้าง มีจุดต่างที่สำคัญคือ คำนึงถึงความสัมพันธ์ของสิ่งแวดล้อมทางการเมือง ศึกษษการเมืองในระบบปิดมากกว่าระบบเปิด อีกส่วนหนึ่งที่แตกต่างอย่างสำคัญคือ ส่วนที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมทางการเมือง การศึกษาแนวระบบและวัฒนธรรมเมืองมีเนื้อหาที่สำคัญอยู่ ๒ ส่วนคือ
๑) ส่วนที่เกี่ยวกับระบบการเมือง ส่วนเใหญ่เกี่ยวกับลักษณะที่เหมือนหรือคล้ายกันของระบบการเมือง ขั้นตอนและการทำงานของระบบการเมือง การดำรงอยู่ของระบบการเมือง และความแตกต่างของระบบการเมือง
๒) ส่วนที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมทางการเมือง ซึ่งส่วนใจเกี่ยวกับทีี่มา รูปแบบ บทบาท และความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างระบบการเมืองกับวัฒนธรรมการเมือง
๑.๔ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐศาสตร์กับศาสตร์อื่น
๑.๔.๑ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐศาสตร์กับนิติศาสตร์
- มีความเชื่อมโยงกันทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
- นิติศาตร์เกี่ยวข้องทัั้งการกำเนิดของรัฐ พัฒนาของรัฐ เครื่องมือของรัฐการออกแบบ ระบบการเมืองการปกครอง การสร้างความชอบธรรมทางการเมืองการปกครองของสถาบันการเมืองการปกครองและผู้ปกครอง
- นิติศาสตร์จึงมีส่วนสนับสนุนรัฐศาสตร์ให้มีเครื่องมือในการสรา้งรัฐ พัฒนารัฐ ออกแบบระบอบการเมืองการปกครอง ปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นต้น
๑.๔.๒ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐศาสตร์กับสังคมวิทยาและจิตวิทยา
- มีความสัมพันธ์กันในแง่ของขอบข่ายของเนื้อหาสาระบริบท และวิธีในการศึกษา โดยเฉพาะปัจจุบันที่รัฐศาสตร์สนใจเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ประชาสังคม และพฤติกรรมทางสังคมของคนและสถาบันทางการเมืองการปกครอง
- เนื่องจาก รัฐศาสตร์ศึกษษในหน่วยและระดับที่เกี่ยวกับคน กลุ่มคน ชุมชน รัฐและสถาบัน และสังคมโดยรวมด้วย คลอบคลุมทั้งจุล ภาค มหภาค ในแง่มุมต่างๆไม่ว่าจะเป็น พฤติกรรม วัฒนธรรม ความต้องการ แรงจูงใจ ทัศนคติ ค่านิยม และอารมณ์ความรู้สึกของคนทั้งในฝ่ายผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง
- มีความสัมพันธ์กันในส่วนที่เกี่ยวกับเหตุผลและเป้าหมายมากว่า วิธีการ
- เนื่องจากทั้งสอง อ้างอิงเหตุผลบนพื้นฐานของความเป็นธรรม และอ้างอิงเป้าหมายบนพื้นฐานของการสรา้งประโยชน์ สูงสุดให้แก่คนจำนวนมากที่สุด
๑.๔.๒ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐศาสตร์กับสังคมวิทยาและประวัติศาสตร์
- มีความสัมพันธ์ในลักษณะพึ่งพาอาศัยกัน
- กล่าวคือ ขณะที่ประวัติศาสตร์เแาปรากฏการณ์ทางการเมืองไปบันทึก วิเคราะห์และตีความนั้น รัฐศาสตร์เองก็นำเอาประวัติศาสตร์มาใช้เป็นหลักฐานและข้อมูลประกอบการอ้างอิง วิเคราะห์ คาดการณ์และทำนายปรากฏการณ์ทางการเมืองด้วยเช่นกัน
+++++++++++++++ แร้วจ้าาาา บทที่ ๑ +++++++++++++
ขอบคุณมากที่เผยแพร่ความรู้ให้กับรุ่นน้อง
ตอบลบ