วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เค้าโครงบทความวิชาการ

หัวข้อ การพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยื่นภายใต้ นิเวศวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป
  1. ความนำ
    • โลกหมุนกลับหรือวิวัฒนาการไปอีกขั้นหนึ่ง
    • เกริ่นเกี่ยวกับ แนวคิดการพัฒนา คนเป็นศูนย์กลาง (คน,ชุมชม,สังคม )
    • เกริ่นนำเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืน ทำไม คืออะไร แล้วทำอย่างไร
    • เกริ่นเกี่ยวกับนิเวศวิทยาวัฒนธรรม ว่า นิเวศวิทยาวัฒนาธรรมคืออะไร
    • วัตถุประสงค์ของการเขียน วิเคราะห์เพื่อนำเสนอแนวคิดหรือวิธีการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ภายใต้ นิเวศวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป
    • กรอบในการวิเคราะห์ภายใต้  แนวคิด ของฟริจจอป คราปา
    • ลำดับประเด็นการเขียน
  2. วิพากษ์จุดเปลี่ยนแห่งศรรษตวรรษ ของ ฟริจจ๊อป
  3. นิเวศวิทยาวัฒนธรรม แบบเดิม กับที่เปลี่ยนไป(โลกกาภิวัฒ์)
    • ว่า เก่าคืออะไร ใหม่คืออะไร ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เชื่อมโยง... 
    • สาเหตุของปัญหา 
    • การแก้ไข มนุษย์+ ธรรมชาติเชื่อมโยงไป...
  4. การพัฒนาที่ยั่งยืน ทำไม คืออะไร แล้วทำอย่างไร กล่าวเชื่อมไป..แนวคิด
    • แนวคิดพัฒนาจิตใจ ของพวกหมอประเวศ ,ท่านว.วชิระ เมธี ,ท่านพุทธทาส
    • แนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยื่น
    • แนวคิดวัฒนธรรมชุมชน ของ ดร.เสรี , นิเวศองค์รวมของฟริจจอป
    • แนวคิดความสมดุลของ  หมอประเวศ
    • แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฎีใหม่
  5. นำเสนอวิธี หรือแนวคิด การพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยื่นภายใต้ นิเวศวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป
  6. บทสรุป

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

หน่วยที่ ๓ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพลเมือง

๓.๑  ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพลเมือง
๓.๑.๑ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ ชาติ และอำนาจอธิปไตย

  • รัฐ มีผู้คำนิยามที่กล่าวโดย  อริสโตเติ้ล, Schleiermacher, Bluntschi  ในบทที่ ๒
  • คำนิยามของ รัฐ คือ สมาคม หรือประชาคม ซึ่งผูกขาดการมีอำนาจบังคับหมายความว่ามีการรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลางอย่างน้อยในระดับใดระดับหนึ่ง และอำนาจนี้สามารถใช้บังคับได้กับทุกคน มีขอบเขตพรมแดนทางภูมิศาสตร์ มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตน และมีประชาชนในฐานะพลเมืองและมีพันธะต้องปฏิบัติต่อรัฐ
  • คำนิยามของ ชาติ เป็นการรวมกลุ่มของประชาชนที่มี ลักษณะทางวัฒนะธรรม ภาษา ประสบการณ์ ทางประวัติศาสตร์ที่คล้ายคลึงกัน ข้อโต้แย้ง แม้ว่าความเป็นชาติจะอาศัยความเหมือนกันทางด้านชาติพันธุ์ของผู้ที่มารวมกันเป็นชาติ แต่อาจมีบางกรณีที่ชาติเป็นที่รวมกันของสมาชิกที่มีความหลากหลายทางชาติพันธ์และศาสนาได้ เช่น USA
  • คำนิยามของอำนาจอธิปตย คือ อำนาจสูงสุดและเด็ดขาดที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ถูกใช้โดยองค์อธิปัตย์ (มีในบทที่ ๒ โดย จอง โบแดง ,Jean Bodin )
  • ข้อแตกต่างของ รัฐกับชาติ ๑) ชาติเป็นเรื่องของความรู้สึก ความผูกพันธ์กันของสมาชิก เป็นเรื่องของจิตวิทยา เมื่อพูดถึงชาติจะไม่พูดถึงเรื่องรัฐบาล หรือการใช้อำนาจโดยรัฐบาล ๒) รัฐมีพรมแดนที่แน่นอน แต่ขอบเขตหรือพรมแดนของชาติอาจไม่สอดคล้องกับรัฐ ในรัฐๆหนึ่งอาจประกอบด้วยหลายชาติ หรือชาติๆหนึ่งอาจะอยู่คาบเกี่ยวมากกว่าหนึ่งรัฐ
  • ลัทธิชาตินิยม เป็นแนวคิดที่สำคัญในการผลักดันการพัฒนารัฐชาติ เพราะเป็นแนวคิดที่สรา้งความซื่อสัตย์ ความจงรัภักดีของประชากรต่อประชาคมที่เรียกตัวเองว่า ชาติ หรือรัฐชาติ
๓.๑.๒ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครองในสมัยต่างๆ
๑) ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครองในสมัยระบบฟิวดัล

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วิชา หลักการพื้นฐานทางรัฐศาสตร์ (หน่วยที่๒)

หน่วยที่ ๒ แนวความคิดว่าด้วยรัฐและอำนาจอธิปไตย
๒.๑ คำนิยามของกรอบแนวคิดว่าด้วยรัฐ
๒.๑.๑ ความหลากหลายของคำนิยามของแนวคิดว่าด้วยรัฐ
          นักวิชาการจากหลฃายสาขา มไ่ว่าจะเป็น นักปรัชญา นักกฎหมาย นักมานุษยวิทยา เป็นต้นต่างให้ความสนใจเรื่อง รัฐ จึงทำให้มีคำนิยามที่หลากหลาย ในปี ๑๙๓๑ มีนักรัฐศาสตร์ท่านหนึ่งอ้างว่าสามารถรวมได้ ถึง ๑๔๕ คำนิยาม
  • อริสโตเติ้ล ให้คำนิยามว่า รัฐคือชุมชนทางการเมืองที่มีสถานะสูงสุดเหนือชุมชนอื่น และรวบรวมเอาชุมชนอื่นๆไว้ทั้งหมด ดังนั้นรัฐจึงต้องมีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรลุความดีที่เหนือกว่าชุมชนอื่นๆ ที่อยู่ภายในรัฐ กล่าวคือ รัฐมีจุดมุ่งหมายสูงสุดคือความดี นั้นเอง 
  •  Schleiermacher กล่าวว่า รัฐคือรูปแบบการดำรงชีวิตของประชาชน รัฐถือกำเนิดขึ้นเมื่อประชาชนโดยส่วนรวมเกิดความสำนึกใน ความเป็นเอกภาพ และมีผลทำให้กิจกรรมทางสังคมทั้งหลายมีความเป็นเหตุเป็นผลมากกว่าการเกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ  
  •  Bluntschi เห็นว่ามนุษย์ เป็นบุคคล เพราะว่าสามารถมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับกฎหมายและลัทธิ เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันในลักษณะที่เป็นรัฐ และการดำรงอยู่ของรัฐถูกำหนดโดยความสัมพันธ์ตามกฏหมายและสิทธิ รัฐจะมีจิตสำนึก มีปัญญา มีเจตนารมณ์ และเป็นบุคคลในทำนองเดียวกันกับที่ปัจเจกชนเป็นบุคคล
๒.๑.๒ รากศัพท์และที่มาของแนวคิดว่าด้วยรัฐในสมัยปัจจุบัน
  • คำว่า "รัฐ" แปลภาษาอังกฤษว่า "State" มีรากศัพท์มาจากคำว่า "Status" ซึ่งเดิมมีความหมายว่าเป็นสถานะของวัตถุหรือลำดับชั้น
  • ประมาณศตวรรษที่ ๑๕ คำว่า State หรือ Status เริ่มมีความหมายที่ชัดเจนขั้นโดยมีความหมายว่า "เป็นรูปแบบเฉพาะอย่างหนึ่งของชุมชนทางการเมือง"
  • นักรัฐศาสตร์ ในสมัยปัจจุบันบางคนมองว่ารัฐในลักษณะที่้ป็ฯสิ่งที่มีความเป็นนามธรรมและพวกมากซ์ซิสต์ได้มองว่ารัฐในฐานนะที่เป็นเครื่องมือของการกดขี่และครอบงำระหว่างชนชั้น
๒.๒ องค์ประกอบเบื้ิองต้นของความเป็นรัฐ
๒.๒.๑ องค์ประกอบเบื้องต้นที่สำคัญของความเป็นรัฐในทัศนะของนักรัฐศาสตร์
  • นักรัฐศาสตร์อเมริกันที่ยึดการศึกษาแนววิเคราาะห์ในเชิงกฎหมายและสถาบัน เห็นว่ารัฐมีคุณสมบัติที่สำคัญ ๕ ประการคือ
  1. ประชากร 
  2. ดินแดน
  3. รัฐบาล
  4. อำนาจอธิปไตย
  5. อิสระภาพ
  • นักรัฐศานสตร์ด้านความสำพันธ์ระหว่างประเทศเช่น Rosenan เห็นว่ารัฐมีองค์ประกอบหลัก ๔ ประการคือ 
  1. มีประชากรอาศัยอยู่อย่างถาวร
  2. มีดินแดนที่ชัดเจน
  3. มีรัฐบาล
  4. มีความสามารถที่จะมีความสัมพันธ์กับรัฐอื่น
๒.๒.๒ ข้อเสนอแน ะเพิ่มเติมของคุณสมบัติเบื้องต้นของความเป็นรัฐ
          Claessen และ Skalnik เห็นว่าคุณสมบัติเบื้งต้นของรัฐยังไม่มีความชัดเจนพอ จึงเสนอเพิ่มเติม
  1. เสนอว่ารัฐจะต้องมีประชากรตั้งแต่ ๕๐๐ คนขึ้นไป
  2. ความเป็นประชาชน ถูกกำหนดโดยการถือกำเนิด หรือ การอยู่อาศัยอย่างถาวร
  3. รัฐบาลมีลักษณะรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง และมีอำนาจพอที่จะรักษกฎหมาย ความเป็นระเบียบ และการป้องกันประเทศ
  4. รัฐจะต้องมีความเป็นเอกราชอย่างน้อยสุดได้แก่ความเป็นเอกราชโดยพฤตินัย(ไม่ถูกแทรกแซงการปกครอง)
  5. ลักษณะของประชากร แสดงให้เห็นว่ามีชนชั้นอย่างน้อย ๒ ชนชั้นคือ ผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง
  6. มีการผลิตสูงพอที่จะทำให้เกิดมูลค่าส่วนเกินสม่ำเสมอเพื่อทำนุบำรุงองค์กร
  7. มีอุดมการณ์ร่วมกันใช้เป็นฐานแห่งความชอบธรรมในการใช้อำนาจปกครองของผู้ปกครอง
๒.๓ ทฤษฏีว่าด้วยการกำเนิคและการกระทำหน้าที่ของรัฐ
๒.๓.๑ ทฤษฏีสัญญาประชาคม 
  • อันที่จริง ทฤษฏีนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง แต่ก็ได้รับความสนใจจากนักวิชาการ
  • นักปรัชญาคนสำคัญที่เสนอความคิดนี้ได้แก่ ฮ็อบ , ล็อค และ รุสโซ 
  • สาระสำคัญของทฤษฏีนี้คือ สภาวะธรรมชาติ ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่มีมนุษย์อยู่ร่วมกันภายใต้กฎหมายธรรมชาติ ต่อมากฎหมายธรรมชาติไม่สามารถผูกพันธ์ให้มนุษย์อยู่ร่วมกันได้ จึงกลายเป็น สภาวะสงคราม มนุษย์จึงตกลงที่จะสละสิทธิตา่มธรรมชาติบางส่วนให้กับองค์อธิปัตย์กระทำสัญญาร่วมกันจึงเข้าสู่ สภาวะความเป็นรัฐ
๒.๓.๒ แนวความคิดว่าด้วยการกำเนิดและการกระทำหน้าที่ของรัฐในทัศนะของมาร์กซิสต์ 
  • เฮเกล เห็นว่ารัฐเป็นผลผลิตจากการพัฒนาของสังคม เมื่อสังคมพัฒนาถึงระดับหนึ่งแล้วเกิดความขัดแย้งหรือศรัตรูกันอย่างที่ไม่สามารถประนีประนอมกันได้ ความขัดแย้งดังกล่าวคือความขัดแย้งระหว่างชนชั้น ดังนั้นเพื่อไม่ให้ความขัดแย้งนี้รุนแรงจนเป็นอันตรายต่อการอยู่รอดของสังคม จึงจำเป็นต้องมีอำนาจ ขั้นเหนือสังคมเพื่อควบคุมความขัดแย้งนี้  จึงกล่าวได้ว่ารัฐที่เกิดขึ้นจากความจำเป็นเพื่อควบคุม ศัตตรูระหว่างชนชั้นเป็นรัฐที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง 
  • มากร์ซ์ เห็นว่ารัฐเป็นเครื่องมือในการกดขี่ของชนชั้นหนึ่งที่มีต่ออีกชนชั้นหนึ่ง เป้าหมายของรัฐคือการสร้างระเบียบขึ้นมาเพื่อให้การกดขี่นี้ถูกกฎหมาย สามารถคงอยู่ต่อได้ และการปะทะจะเบาบางลง
  • Atonio Gramsci ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลี เห็นว่ารัฐ เป็นโครงสร้างเบื้องบนทางอุดมการณ์ รวมถึงระบบการศึกษาและศาสนาด้วย ซึ่งรัฐตามความหมายนี้จะมีอิทธิพลต่อทัศนะคติและสามารถถสร้างการยอมรับ ได้โดยการใช้ "Hegemony" เขามองว่าการครอบงำอำนาจทางปัญญานี้มีความสำึคัญกว่าการใช้กำลังบังคับ
          แนวคิดว่าด้วยกำเนิดและหน้าที่ของรัฐตามทัศนะของมาร์กซิตส์เห็นว่า รัฐเป็นผลผลิตจากการพัฒนาของสังคมเอง เมื่อสังคมพัฒนามาถึงระดับหนึ่งและจะเกิดความขัดแย้งระหว่างชนชั้น จึงจำเป็นต้องมีการใช้อำนาจขึ้นเหนือสังคมเพื่อควบคุมความขัดแย้ง รัฐจึงเกิดขึ้น รัฐคือเครื่องมือในการครอบงำและกดขี่ของชนชั้นหนึ่งที่มีต่ออีกชนชั้นหนึ่ง

๒.๓.๓ ทฤษฏีว่าด้วยระบบชลประทาน
            ได้แก่ทฤษฏีของ Steward และ Wittfogel ซึ่งได้รับอิทธิพลจากความคิดของ Marx เกี่ยวกับรูปแบบการผลิตแบบเอเชีย โดยมีการอธิบายว่า ระบบเศรษฐกิจของสังคมแบบเอเชียมีลักษณะของการเพาะปลูกอย่างกว้่างขวาง จึงมีความจำเป็นในการสร้างและบำรุงรักษาระบบชลประทาน รัฐจึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ฝ่ายที่จัดการ

๒.๓.๔ ทฤษฏีพิชิตอำนาจ 

  • เป็นทฤษฏีของ Franz Oppenheimer 
  • ได้แก่ ความคิดที่ว่ารัฐเกิดขึ้นจากคนกลุ่มหนึุ่งใช้กำลังพิชิตชนอีกกลุ่มหนึ่งให้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของพวกตน ผู้แพ้ต้องยอมอยู่ภายใต้การปกครองและจ่ายเครื่องบรรณาการให้ผู้ชนะ รัฐได้ถือกำเนิดขึ้นเนื่องจากความจำเป็นในการจัดองค์การเพื่อการปกครอง
๒.๓.๕ แนวความคิดว่าด้วยการกระทำหน้าที่ของรัฐในทัศนะของนักรัฐศาสตร์ในสมัยปัจจุบัน
  • Leslie Lipson รัฐจะต้องมีขึ้นเพื่อสนองตอบความจำเป็นอันเป็นสากล ได้แก่การ พิทักษ์ปกป้อง ความาปลอดภัย หรือความมั่นคงในชีวิตและร่างกายของมนุษย์ ในลำดับต่อมาคือให้ความเป็นระเบียบ และท้ายที่สุดคือให้ึความยุติธรรม
ภาพที่ ๒.๑ แสดงถึงเป้าหมายของรัฐและเครื่องมือที่จะทำให้รัฐบรลุเป้าหมาย
  • Eckstien มีความเห็นว่ารัฐเกิดขึ้นเพื่อเป็นการตอบสนองทางด้านการกระทำหน้าที่ต่อความจาจลวุ่นวายของสังคมที่ครั้งหนึ่งเคยมีบูรภาพ รัฐสมัยใหม่ ที่เกิดขึ้นในยุโรปหลังสมัยกลางได้เกิดขึ้นเพื่อเป็นการตอบสนองต่อความสับสนวุ่นวายอันเนื่องมาจากผลของความเจริญทางด้านการค้าขายและอุตสาหกรรมชาติ ปัจจุบันรัฐกำลังเผชิญกับการท้าทายใหม่ คือการเกิดขึ้นของลัทธิ "บรรษัทนิยมใหม่" รัฐจะต้องกระทำหน้าที่พิเศษทางสังคมที่เหนือกว่าการทำหน้าที่ของบรรษัทหรือกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ภายใต้รัฐ หน้าที่ดังกล่าวนี้คือ การกระจายสิ่งที่มีคุณค่าในสังคมเสียใหม่
๒.๔ พัฒนาการของรัฐ
๒.๔.๑ พัฒนาการของรัฐก่อนยุคเกิดขึ้นของสหประชาชาติ
           ตำราของ Jacop และ Libman ได้กล่าวถึงพัฒนาการรูปแบบของรัฐ ออกเป็น ๕ ยุคคือ 
  1. รัฐเผ่าพันธุ์ น่าจะพัฒนาขึ้นมาจากครอบครัวขนาดใหญ่ โดยอาจเริ่มจากหลายครอบครัวที่เป็นเครื่ญาติกันและขยายตัวจนมีขนาดใหญ่ จนเกิดเป็นปกครองที่มีชนชั้น และมีองค์ประกอบของรัฐขึ้น
  2. รัฐจักรวรรดิตะวันออก คือ รัฐสมัยโบราณทางริมฝั่งแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส ได้แก่ จักรวรรดิเปอร์เซีย จักรวรรดิบาบิโลน จักรวรรดิสุเมเรียและอัสซิเรีย เป็นจักรวรรดิที่ปกครองโดยอ้าางอำนาจอันศักสิทธิของเทพเจ้า
  3. นครรัฐกรีก เป็นรัฐขนาดเล็ก อยู่บนดินแดนประเทศกรีกในปัจจุบัน ประมาณว่ามีอยู่ ๑๕๐ นครรัฐ โดยแต่ละนครรัฐมีรูปแบบการปกครองที่แตกต่างกัน ฮีโรโดตุส  ได้กล่าวถึงการปกครอง ๓ รูปแบบของอารยธรรมกรีกโบราณ คือ การปกครองโดยคนๆเดียวหรือ ราชาธิปไตย การปกครองโดยคนจำนวนน้อยเรียกว่า คณาธิปไตย และการปกครองโดยคนจำนวนมาก เรียกว่า ประชาธิปไตย
  4. จักรวรรดิโรมัน มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม เนื่องจากมีความจำเป็นในการปกครองประชากรจำนวนมาก จักรวรรดิโรมันจึงให้ความสำคัญกับกฏหมายปละมีการตรากฏหมายขึ้นเรียกว่า " Jus Gentium"
  5. รัฐฟิวดัล เป็นรูปแบบของรัฐที่เกิดขึ้นหลังจากที่กรุงโรมแตก เหล่าขุนศึกและขุนนางต่างสร้างป้อมปราสาทของตัวเอง เองตัวเองว่า Lord และบังคับประชาชนให้เป็นทาสติดดิน เรียกว่้า Serf ต้องทำการเกษตร สร้างมูลค่าส่วนเกินให้แก่ Lord กษัติย์เป็นเพียงขุนนางคนหนึ่งที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำของตน นอกจากกษัตริย์และขุนนางแล้ว ยังมีศาสนจักร ที่มีอิทธิพลมากและคอยแย่งชิงอำนาจกันอยู่
๒.๔.๒ รัฐสมัยใหม่หรือ รัฐประชาชาติ
  • รัฐสมัยใหม่หรือรัฐประชาชชาติ ค่อยๆได้รับการพัฒนาขึ้นมาหลังจากอำนาจของสันตะปาปาและศาสนจักร ลดลง ในระยะเริ่มแรก เป็นรัฐที่ปกครองในระบอบกษัตริย์ ต่อมามีการเปลี่ยนแปลง การปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย ในปัจจุบันประชาชาติได้กลายเป็นรูปแบบของรัฐที่ขยายไปทั่วโลก ลักษณะที่สำคัญความเป็นรัฐประชาชาติคือ ประชาชนเป็นพลเมืองทุกคนของรัฐ และมีความจงรักภักดีต่อรัฐ
๒.๕ รัฐกับอำนาจอธิปไตย
๒.๕.๑ แนวความคิดเรื่องอำนาจอธิปไตย
  • เป็นแนวความคิดที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับการสร้างความชอบธรรมในการใช้อำนาจการปกครองของรัฐสมัยใหม่ 
  • Jean Bodin เสนอว่า อำนาจอธิปไตยคืออำนาจที่สุงสุด เหนือพลเมืองและประชาชนที่อาศัยอยู่บนดินแดนของรัฐ และเป็นอำนาจที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้
๒.๕.๒ ความไม่ชัดเจนของแนวความคิดเรื่องอำนาจอธิปไตย

  • แนวความคิดเรื่องอำนาจอธิปไตยเป็นแนวความคิดที่ไม่ชัดเจนและสับสนอยู่ เนื่องจากคุณสมบัติสำคัญประการหนึ่งคือ อำนาจอะิปไตยไม่สามารถแบ่งแยกได้ ซึ่งหมายความว่าอำนาจสูงสุดจะต้องมีลักษณะรวมศูนย์ไปที่คนๆเดียวหรือกลุ่มเดียวซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงทางการเมือง 
  • แนวความคิดเรื่องอำนาจอธิปไตยยังมีปัญหามากเมือนำเอามาใช้กับการเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบัน ซึ่งอำนาจอธิปไตยหมายถึงอำนาจที่สมบูรณ์ที่รัฐมีอยู่เหนือดินแดนและพลเมืองของตน แต่พบว่าปรากฏการณ์แทรกแซงทางการเมืองจากประเทศมหาอำนาจเช่น การบังคับให้ประเทศโลกที่สามออกกฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การอ้างความชอบธรรมในการใช้แสนยานุภาพทางทหารให้กลุ่มก่อการร้ายที่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีอำนาจอธิปไตย การเกิดขึ้นของบริษัทข้ามชาติ ซึ่งแทบที่จะไม่ได้อยู่ภายอธิปไตยของประเทศใดประเทศหนึ่ง เป็นต้น

๒.๖ วิกฤตการณ์ของรัฐประชาชาติในยุคโลกาภิวัตน์
๒.๖.๑ พัฒนาการของรัฐประชาชาติหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
  • ประเทศที่มีการปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ยังไม่มีทีท่าว่าจะสลายตัวไปตามแนวคิดของมาร์กและยังมีการปกครองในลักษณะเผด็จการอยู่
  • ประเทศเสรีนิยม หรือประเทศทุนนิยมไม่่ว่าจะเป็นระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยมหรือระบอบสังคมนิยมประชาธิปไตยก็ตามมีแนวโน้มว่ารัฐจะขยายขอบข่ายบทบาทหรือการกระทำหน้าที่ในด้านต่างๆออกไปอย่างกว้างขวาง และในขณะเดียวกันได้มีการพัฒนาขยายด้านโครงสร้างของรัฐออกไปด้วย
  • Richard Scase ได้สรุปแนวดน้มการพัฒนาของรัฐในปี ๑๙๘๐ ดังนี้
  1. ประเทศทุนนิยมตะวันตก รัฐได้เข้ามามีบทบาทในการรักษา เพิ่มพูนและปรับปรุงคุณภาพชีวิตมากขึ้น
  2. รัฐมีลักษณะการกดขี่มากขึ้น เนื่องจากการควบคุมของรัฐทางอ้อมถูกแทนที่โดยหน่วยงานต่างๆ
  3. การทำหน้าที่ต่างๆของรัฐมีลักษณะรวมศูนย์อำนาจยิ่งขึ้น
  4. รัฐได้เข้าไปแทรกแซงกระบวนการผลิตมากขึ้น
  5. เกิดข้อขัดแย้งมากขึ้นระหว่ารัฐกับระบบทุนนิยมโลก
๒.๖.๒  วิกฤตการณ์ของรัฐประชาชาติในยุคโลกาภิวัตน์
  • พัฒนาการของความเจริญทางด้านวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีและการขยายตัวของระบบทุนนิยมของโลกได้ท้าทายต่อหลักการว่าด้วยอำนาจอธิปไตยของรัฐ และมีผลทำให้เกิดความพยายามของมหาอำนาจหรือประชาคมโลกที่จะแทรกแซงพฤติกรรมหรือการกระทำที่ถูกมองว่าไม่เหมาะที่เกิดขึ้นภายในพรมแดนของรัฐต่างๆ 
  • นอกจากนั้นยังเกิดการรวมตัวกันของรัฐเป็นหน่วยทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้น ในขณะเดียวกันเราก็เห็นปรากฏการณ์ของการยึดหดในอำนาจอธิปไตยของรัฐและการเสริมสร้างความเข็มแข็งของท้องถิ่นและการกระทำหน้าที่และบทบาทของภาครัฐหดตัวลง
++++++++++++++ แร้วจ้าาาา บทที่๒ ++++++++++++++

วิชา หลักการพื้นฐานทางรัฐศาสตร์ (หน่วยที่๑)

หน่วยที่ ๑ ลักษณะและขอบข่ายของรัฐศาสตร์
๑.๑ แนวคิดและความหมายของรัฐศาสตร์ 
๑.๑.๑ แนวคิดเชิงปรัชญา เชิงสถาบันและโครงสร้าง รวมทั้งเชิงระบบ 
๑) การศึกษารัฐศาสตร์ตาม “แนวคิดเชิงปรัชญา” 
          เป็นการศึกษารัฐศาสตร์ตามแนวคิดเชิงปรัชญาของนักปราชญ์ ที่มุ่งเสนอแนะแสวงหา”สิ่งที่ควรจะเป็น”หรือ”สิ่งที่พึ่งปรารถนา”
  • โสกราตีส ตั้งคำถามเกี่ยวกับความดี ความยุติธรรม และเป้าหมาของรัฐ ซึ่งคำถามเหล่านี้เป็นแนวทางของปรัชญาการเมืองที่พยายามแสวงหารูปแบบการกระทำหรือกิจกรรม ระเบียบแบบแผนทางการเมืองที่ถูกต้องและดีงาม 
  • เพลโต เสนอในงานเขียน “อุดมรัฐ”(Republic) ว่ารัฐในอุดมคติจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมี “ราชาปราชญ์”(Philosopher King) 
  • อริสโตเติล เสนอในงานเขียน “การเมือง”(Politic) ว่า รัฐในอุดมคติ คือ “รัฐที่มีการปกครองระบอบอภิชนาธิปไตย” เน้นคุณสมบัติของคนกับการปกครองตามสัดส่วนที่ยึดถือความดีเป็นหลัก โดยพิจารณาจากจำนวนผู้ปกครองและเป้าหมายในการใช้อำนาจ เป็นหลัก 
  • มาเคียเวลลี เสนอในงานเขีนเรื่อง "เจ้า”(The Prince) ว่าการเมืองเป็นเรื่องของศิลปะการใช้อำนาจ เป้าหมายของการเมืองอยู่ที่ผลประโยชน์ส่วนรวม เพื่อเป้าหมายดังกล่าวผู้ปกครองย่อมใช้วิธีที่ไม่มีศีลธรรมได้ “เข็มแข็งดุจราชสีห์ เจ้าเลห์ดั่งสุนัขจิ้งจอก” 
  • โธมัส ฮ้อบส์ เสนอในงานเขียน “Leviathan” ว่า มนุษย์นั้นอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติที่แสวงหาความมั่นคงและปลอดภัย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดั่งกล่าวมนุษย์จึงต้องสละสิทธิ์ตามธรรมชาติ บางส่วนแก่ผู้ปกครองหรือองค์อธิปัตย์ 
  • จอห์น ล็อค เสนอในงานเขียน The Second Treatise of Civil Government ว่า รัฐบาลที่ดีเกิดคือรัฐบาลที่เกิดจากการทำ ”สัญญาประชาคม” (Social Contract) เพื่อทำหน้าที่เป็นองค์กรในการใช้อำนาจส่วนกลางร่วม หากไม่สามรถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพประชาชนสามารถเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ + คาร์ลมากซ์ เสนองานเขียน The Communist Manifesto ว่ารัฐเป็นเครื่องมือที่ชนชั้นนายทุนกดขี่ ข่มเหง ชนชั้นกรรมมาชีพ สังคมที่ดี คือ “สังคมคอมมิวนิสต์”ที่ปราศจากรัฐและผู้ปกครองโดยที่ทุกคนมีความเสมอภาคกัน 
          แนวคิดเชิงปรัชญา เป็นรากฐานสำคัญของการสร้างทฤษฎีและลัทธิอุดมการณ์เกี่ยวกับรัฐและการเมือง  การปกครอง

๒) การศึกษารัฐศาสตร์ตาม “แนวคิดเชิงสถาบันและโครงสร้าง” 
  • มุ่งอธิบายว่ารัฐและการปกครองที่ดีจะต้องเป็นรัฐที่มีสมรรถนะ เสถียรภาพและมีการแบ่งหน้าที่กันทำตามความชำนาญเฉพาะด้านในการทำหน้าที่ของสถาบันการเมืองการปกครอง 
  • รวมทั้งเพื่อ ถ่วงดุลอำนาจระหว่างสถาบันด้วยกันเอง โดยเฉพาะ สถาบันนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ 
  • จึงเป็นการศึกษาที่เน้นแบบแผนกิจกรรมหรือการกระทำในรูปของกลุ่มหรือองค์กรที่จัดตั้งทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ 
  • เพื่อจุดมุ่งหมายในการจัดระเบียบ จัดสรรผลประโยชน์และยุติปัญหาข้อขัดแย้งในสังคม 
  • แนวคิดเชิงสถาบันและโครงสร้าง เป็นรากฐานสำคัญของการสร้างแบบแผนกิจกรรม ระเบียบความสัมพันธ์ ขอบเขตอำนาจ 
๓) การศึกษารัฐศาสตร์ตาม “แนวคิดเชิงระบบ” 
  • มุ่งอธิบายว่า รัฐและการปกครองที่ดีนั้นจะต้องประกอบด้วยส่วนย่อยต่างๆที่มีการทำงานอย่างเป็นลำดับขั้น มีการประสาน สอดคล้อง มีปฏิสัมพันธ์และการปรับตัว แลส่งผลต่อสมรรถภาพโดยรวมของทั้งระบบ 
  • แนวคิดเชิงระบบ เป็นรากฐานของการจัดจำแนกปัจจัยส่วนประกอบ การลำดับขั้นตอนการทำงาน และเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของกลไก กระบวนการส่วนย่อยต่างๆ ภายในระบบการเมืองไทย 
๑.๑.๒ ความหมายของรัฐศาสตร์ 
           มี ๓ ความหมายคือ ความเป็นศาสตร์เกี่ยวกับรัฐ เกี่ยวกับการปกครอง และเกี่ยวกับการเมือง ทั้ง ๓ ความหมายมีเป้าหมายเหมือนกันคือ การอธิบายและเสนอแนวทางในการสถาปนารัฐและการปกครองที่ดี ซึ่งสามารถจัดสรรหรือแบ่งปันผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มชนต่างๆได้อย่างทั่วหน้า


๑) ความเป็นศาสตร์เกี่ยวกับรัฐ 
  • มุ่งอธิบายเกี่ยวกับรัฐในมิติต่างๆ เช่นการกำเนิด องค์ประกอบ หน้าที่และจุดมุ่งหมายของรัฐ พัฒนาการ รูปแบบ โครงสร้าง 
  • การกำเนิดของรัฐ ศึกษาในหลายทฤษฏี ได้แก่ทฤษฏีเทวสิทธิ์ ทฤษฏีสัญญาประชาคม ทฤษฏีกำลัง ทฤษฏีธรรมชาติ เป็นต้น 
  • ศึกษาโครงสร้างของรัฐ โครงสร้างของรัฐบาล ระบบกลไกราชการ ชนชั้นนำทางอำนาจการปกครองและเศรษฐกิจ โครงสร้างทางอุดมการณ์ 
  • ศึกษาอำนาจอธิปไตยของรัฐ ได้แก่ อำนาจอธิปไตยภายในรัฐซึ่งเน้นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ และอำนาจภายนอกรัฐซึ่งเน้นเอกราช 
  • ศึกษาสิทธิเสรีภาพ ของประชาชน ได้แก่การรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
๒) ความเป็นศาสตร์เกี่ยวกับการปกครอง 
  • มุ่งอธิบายเกี่ยวกับอำนาจสูงสุดในการปกครองรัฐ รูปแบบและกลไกสถาบันในการปกครองของรัฐ แบบแผนและกระบวนการในการปกครองของรัฐ ความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างองค์กรปกครองส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่น
  • ศึกษากระบวนการตราและบังคับใช้กฎหมาย ตลอดจนการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
  • การอธิบายเกี่ยวกับ อำนาจสูงสุดในการปกครองของรัฐ ได้แก่ การกำหนดขึ้น ความเป็นเจ้าของ และวิธีการนำอำนาจไปใช้
๓) ความเป็นศาสตร์เกี่ยวกับการเมือง
  • มุ่งอธิบายเกี่ยวกับลัทธิทางการเมือง โครงสร้างสถาบันและการทำหน้าที่ของสถาบันทางการเมือง พัฒนาการทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมือง กระบวนการทางการเมือง การตรวจสอบทางการเมือง การควบคุมโทษทางการเมือง 
๑.๑.๓ ความแตกต่างและความคล้ายคลึงระหว่างรัฐศาสตร์กับการเมือง 
  • รัฐศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับ รัฐ การปกครอง และการเมือง ดังนั้นการเมือง จึงเป็นส่วนหนึ่งของรัฐศาสตร์ 
  • ข้อแตกต่างระหว่างรัฐศาสตร์กับการเมืองนั้น จุดสำคัญอยู่ที่ ขอบเขตของการศึกษา 
  • รัฐศาสตร์มีขอบเขตการศึกษาที่กว้าง คลอบคลุมมากกว่า การเมือง ขณะที่การเมืองในมีขอบเขตที่แคบและละเอียดกว่า 
  • เช่น เมื่อกล่าวถึงคำความ "อำนาจ” รัฐศาสตร์จะสนใจถึงอำนาอธิปไตยของรัฐ กระบวนวิธีการใช้อำนาจสูงสุดในการปกครอง และกระบวนวิธีในการยึดกุมอำนาจหรือควบคุมอำนาจนั้นด้วย แต่ถ้าเป็นการเมืองจะสนใจเฉพาะกระบวนวิธีในการยึดกุมอำนาจหรือควบคุมอำนาจเท่านั้น 
  • การเมืองมีจุดเด่นคือ สามารถเพิ่มความละเอียดลึกซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่ละเอียดและแยกย่อยเฉพาะด้านได้มากขึ้น
๑.๒ พัฒนาการของรัฐศาสตร์ 
๑.๒.๑ ความเป็นมาของรัฐศาสตร์
            เดิมเป็นแขนงของสังคมศาสตร์ จำแนกได้ ๕ ยุค คือ 
๑) รัฐศาสตร์ยุคสมัยที่เน้นปรัชญา (๕๐๐-๓๐๐ ก่อนคคริสต์สักการ) 
  • เกิดขั้นใน ยุคอารยธรรมกรีกโบราณ โดยอิทธิพลทางความคิดของนักปราชญ์ที่สนใจเกี่ยวกับ รัฐ การปกครอง และการเมือง 
  • มุ่งแสวงหาเป้าหมายอันพึ่งปรารถนา โดยอาศัยบรรทัดฐานเชิงคุณค่านิยมในทางศีลธรรมและจริยธรรมเป็นเครื่องแยกระหว่างดีกับเลว
  • มีนักคิดคนสำคัญได้แก่ เพลโต(บิดาปรัชญาการเมืองเสนอ ราชาปราชญ์),อริสโตเติล(บิดาวิชารัฐศาสตร์)เพราะเป็นคนแรกที่แยกรัฐศาสตร์ออกจากสังคมศาสตร์,
  • เน้นการศึกษาในเชิงปรัชญาและศีลธรรม ได้รับอิทธิพลทางความคิดในรูปแบบตำรา คำสอน และบทสนทนา 
๒) รัฐศาสตร์ในยุคสมัยที่เน้นกฎหมาย
  • เกิดขึ้นในอาณาจักรโรมัน โดยมีการเชื่อมโยงปรัชญากรีกกับ ความคิดทางการเมืองของตะวันตก
  • มุ่งสร้างความผูกพันระหว่างมนุษย์ที่เท่าเทียมกันทั้งโลกเหนือความผูกพันเฉพาะชุมชน อิงบรรทัดฐานของกฎธรรมชาติศักดิ์ศรีและความเสมอภาคของมนุษย์   
  • ถือว่า กฎหมาย คือแกนของวิชารัฐศาสตร์ เพราะผู้นำเป็นทหาร รวบรวมดินแดนต่างๆเข้ามาอยู่ เขตอำนาจการปกคราองเดียวกัน กฎหมายจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุม 
  • มีการประมวลกฎหมายขึ้น ในสมัยพระจักรพรรดิจัสติเนียน ค.ศ.๕๒๗- ๕๖๕
  • มีการผสมผสานปรัชญากรีกจากสำนักสโตอิค กับความคิดทางการเมืองของตะวันตกที่เน้นความสัมพันธ์และความเสมอภาคและศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ จนกลายเป็นรากฐานทางกฎหมายและรัฐธรรมนูญ
๓) รัฐศาสตร์ในสมัยที่เน้นศาสนา 
  • มุ่งสร้างจักรภพโลกแห่งศาสนาเดียว อิงบรรทัดฐานของหลักธรรมคำสอนของคริสต์ศาสนาและอิทธิพลของ ศาสนจักรเหนืออาณาจักร 
  • เกิดขึ้นยุคศักดินาหรือยุโรปยุคกลาง 
  • รัฐศาสตร์ในยุคนี้มีความผูกพันกับระบบจริยธรรมด้วย
๔) รัฐศาสตร์ในสมัยที่เน้นอำนาจ
  • มุ่งวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับศิลปะในการใช้อำนาจและรักษาอำนาจ อิงบรรทัดฐนของความมั่นคงเข็มแข็งของอำนาจมากกว่าจรยธรรมหรือศีลธรรม
๕) รัฐศาสตร์ในสมัยที่เน้นการพัฒนาทางการเมืองและการเมืองเปรียบเทียบ
  • มุ่งสร้างความรู้ความเข้าใจและการใช้ประโยชน์ในการพัฒนา อิงบรรทัดฐานของการสร้างทฤษฏี การสร้างหลักการทงวิทยาศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ แนวโน้มในอนาคต + ในยุคหลังความทันสมัยจะเน้นการแก้ไขปัญหาสำคัญของประชาชนการเมืองโลก ตอบสนองความต้องการและยกระดบมาตรฐานคุณภาพชีวิตของมนุษยชาติในภาคประชาชนมากกว่าองค์กรของรัฐ
๑.๒.๒ ขอบข่ายของรัฐศาสตร์ 
  • มีแนวโน้มว่าจะขยายขอบข่ายออกไปมากขึ้น ทั้งด้านเทคนิควิธีการศึกษา เนื้อหาสาระและเป้าหมายการศึกษา ซึ่งครอบคลุมทังการเมืองทั่วไป เรื่องทฤษฎีและประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมือง เรื่องการเมืองเปรียบเทียบ
๑.๒.๓ พัฒนาการและขอบข่ายของรัฐศาสตร์ในประเทศไทย 
  • เมื่อไทยได้รับอิทธิการจัดระเบียบการปกครองแบบตะวันตกจึงได้นำเอา ความรู้ทางรัฐศาสตร์เท่าที่จำเป็นมาสอนในโรงเรียนฝึกหัดข้าราชการพลเรือน และก่อตั้งเป็นโรงเรียน รัฐประศาสนศาสตร์ในเวลาต่อมา 
  • จุฬาลงกรณ์เปิดหลักสูตรเป็นแห่งแรก ตามด้วยธรรมศาสตร์ รามคำแหง และ มสธ. 
  • มี ๓ สาขาคือ การปกคราอง บริหารรัฐกิจหรือรัฐประศาสนศาสตร์ และระหว่างประเทศ. 
  • ขอบข่ายของรัฐศาสนาเริ่มขยายไปสู่ ภาคเอกชน มีความเป็นเอกชนและความเป็นวิชาชีพ ความชำนาญเฉพาะทางมากขึ้น
๑.๓ เนื้อหาและวิธีการศึกษารัฐศาสตร์
๑.๓.๑ เนื้อหาและวิธีการศึกษาในแนวปรัชญา
           วิธีการศึกษารัฐศาสตร์ตามแนวปรัชญาไม่ได้อิงระเบียบวิ๊ทางวิทยาศาสตร์มากนักแต่ เป็นการอิงกับความเชื่อของคนที่เป็นนักปราชญ์เป็นสำคัญ 
  • โสคราตีส เกี่ยวกับเป้าหมายความต้องการและรูปแบบที่ดีที่สุดของรัฐ การกระทำทางการเมืองที่ดีและยุติธรรม
  • เพลโต เกี่ยวกับรัฐในอุดมคติ ผู้ปกครองที่ดีหรือราชาปราชญ์ 
  • อริสโตเติ้ล เกี่ยวกับรัฐในอุดมคติและระบอบการปกครองที่พึงปรารถนาตามหลักการปกครองตามสัดส่วน 
  • มาเคียเวลลี่ เกี่ยวกับศิลปะการใช้อำนาจและการปกครอง หน้าที่เพื่อความปลอดภัยอยู่ดีกินดี เป้าหมายสูงสุดคือ ส่วนรวม 
  • โธมัสฮ็อบ เกี่ยวกับ ความยุติธรรมในรูปกฎหมายที่องค์อธิปัตย์หรือผู้ปกครองใช้เพื่อเป้าหมายสูงสุด คือ ความปลอดภัย 
  • จอหน์ ล็อค เกี่ยวกับ อำนาจส่วนกลางที่คุ้มครองประชาชน และสิทธิในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลของประชาชน 
  • รุสโซ เกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดเป็นของชุมชนไม่ใช่รัฐบาล + มองเตสกิเออ เกี่ยวกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย รัฐบาลมีอำนาจจำกัด และมีการถ่วงดุลอำนาจ บริหาร ตุลการ นิติบัญญัติ
  • เฮเกล เกี่ยวกับจิตใจและความคิดเป็นตัวกำหนดสู่สิ่งใหม่ รัฐบาลจะดีหรือเลวขึ้นกับความคิดและจิตใจของคนในขณะนั้น 
  • เบนธัม เกี่ยวกับพันธะทางอำนาจของรัฐบาลในการสร้างประโยชน์สูงสุด แก่คนจำนวนมากที่สุด 
  • มิลล์ เกี่ยวกับการรักษาผลประโยชน์ ระหว่างของปัจเจกชนและของส่วนรวม โดยการสร้างดุลยภาพระหว่างเสรีภาพของคนกับรัฐบาล 
  • มากซ์ เกี่ยวกับวัตถุเป็นตัวกำหนดความเปลี่ยนแปลง รัฐเป็นเครื่องมือของทุนนิยมในการ ขูดรีด สังคมคอมมิวนิสต์คือสังคมที่ไร้รัฐและชนชั้น 
๑.๓.๒เนื้อหาและวิธีการศึกษาแนวสถาบันและโครงสร้าง 
           วิธีการศึกษาจะเน้นพฤติกรรม การเปรียบเทียบและการพัฒนา โดยอาศัยระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ ทางสังคมวิทยาและชีววิทยา
  • มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับสถาบันทางการเมืองในฐานะที่เป็นส่วนประกอบย่อย ของระบบการเมือง 
  • สนใจในส่วนที่เป็นสถาบันการเมืองการปกครอง โครงสร้าง และหน้าที่ของสถาบันเหล่านั้น
  • สถาบันนั้นไม่จะเป็นว่าต้องจัดตั้งอย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ จัดตั้งโดยรัฐหรือประชาชน แต่สำคัญที่ การกระทำหรือกิจกรรมทางการเมือง และมีผลกระทบต่อระบบการเมือง 
  • Eisenstad เห็นว่าสถาบันทางการเมืองจะมีลักษณะ ๑) มีแบบแผน กฎเกณฑ์และบรรทัดฐาน ๒) มีโครงสร้างและวิธีปฏิบัติกิจกรรมทางการเมือง ๓) มีปฏิสัมพันธ์กับสถาบันทางการเมืองอื่น
  • Huntington เห็นว่าเสถียรภาพหรือความมั่นคงของสถาบันนั้นขึ้นกับ ๒ ปัจจัยคือ ๑) ขอบเขตของการสนับสนุน ๒) ระดับความเป็นสถาบัน
๑.๓.๓ เนื้อหาและวิธีการศึกษาแนวระบบและวัฒนธรรมเมือง
          มีวิธีการศึกษาที่คล้ายคลึงกับแนวสถาบันและโครงสร้าง มีจุดต่างที่สำคัญคือ คำนึงถึงความสัมพันธ์ของสิ่งแวดล้อมทางการเมือง ศึกษษการเมืองในระบบปิดมากกว่าระบบเปิด อีกส่วนหนึ่งที่แตกต่างอย่างสำคัญคือ ส่วนที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมทางการเมือง การศึกษาแนวระบบและวัฒนธรรมเมืองมีเนื้อหาที่สำคัญอยู่ ๒ ส่วนคือ
๑) ส่วนที่เกี่ยวกับระบบการเมือง ส่วนเใหญ่เกี่ยวกับลักษณะที่เหมือนหรือคล้ายกันของระบบการเมือง ขั้นตอนและการทำงานของระบบการเมือง การดำรงอยู่ของระบบการเมือง และความแตกต่างของระบบการเมือง
๒) ส่วนที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมทางการเมือง ซึ่งส่วนใจเกี่ยวกับทีี่มา รูปแบบ บทบาท และความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างระบบการเมืองกับวัฒนธรรมการเมือง 
ภาพที่ ๑.๑ ขั้นตอนและการทำงานระบบการเมือง
๑.๔ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐศาสตร์กับศาสตร์อื่น
๑.๔.๑ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐศาสตร์กับนิติศาสตร์
  • มีความเชื่อมโยงกันทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
  • นิติศาตร์เกี่ยวข้องทัั้งการกำเนิดของรัฐ พัฒนาของรัฐ เครื่องมือของรัฐการออกแบบ ระบบการเมืองการปกครอง การสร้างความชอบธรรมทางการเมืองการปกครองของสถาบันการเมืองการปกครองและผู้ปกครอง
  • นิติศาสตร์จึงมีส่วนสนับสนุนรัฐศาสตร์ให้มีเครื่องมือในการสรา้งรัฐ พัฒนารัฐ ออกแบบระบอบการเมืองการปกครอง ปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นต้น
๑.๔.๒ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐศาสตร์กับสังคมวิทยาและจิตวิทยา
  • มีความสัมพันธ์กันในแง่ของขอบข่ายของเนื้อหาสาระบริบท และวิธีในการศึกษา โดยเฉพาะปัจจุบันที่รัฐศาสตร์สนใจเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ประชาสังคม และพฤติกรรมทางสังคมของคนและสถาบันทางการเมืองการปกครอง
  • เนื่องจาก รัฐศาสตร์ศึกษษในหน่วยและระดับที่เกี่ยวกับคน กลุ่มคน ชุมชน รัฐและสถาบัน และสังคมโดยรวมด้วย คลอบคลุมทั้งจุล ภาค มหภาค ในแง่มุมต่างๆไม่ว่าจะเป็น พฤติกรรม วัฒนธรรม ความต้องการ แรงจูงใจ ทัศนคติ ค่านิยม และอารมณ์ความรู้สึกของคนทั้งในฝ่ายผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง
๑.๔.๒ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐศาสตร์กับสังคมวิทยาและเศรษฐศาสตร์
  • มีความสัมพันธ์กันในส่วนที่เกี่ยวกับเหตุผลและเป้าหมายมากว่า วิธีการ
  • เนื่องจากทั้งสอง อ้างอิงเหตุผลบนพื้นฐานของความเป็นธรรม และอ้างอิงเป้าหมายบนพื้นฐานของการสรา้งประโยชน์ สูงสุดให้แก่คนจำนวนมากที่สุด
๑.๔.๒ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐศาสตร์กับสังคมวิทยาและประวัติศาสตร์
  • มีความสัมพันธ์ในลักษณะพึ่งพาอาศัยกัน 
  • กล่าวคือ ขณะที่ประวัติศาสตร์เแาปรากฏการณ์ทางการเมืองไปบันทึก วิเคราะห์และตีความนั้น รัฐศาสตร์เองก็นำเอาประวัติศาสตร์มาใช้เป็นหลักฐานและข้อมูลประกอบการอ้างอิง วิเคราะห์ คาดการณ์และทำนายปรากฏการณ์ทางการเมืองด้วยเช่นกัน

+++++++++++++++  แร้วจ้าาาา บทที่ ๑  +++++++++++++

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Agenda 21


Agenda 21
แผนปฏิบัติการ 21 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

แผนปฏิบัติการ 21 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Agenda 21) เป็นเอกสารที่สำคัญฉบับหนึ่งของสหประชาชาติ ซึ่งได้รับการรับรองจากการประชุม Earth Summit ที่นครริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล ในปี ค.. 1992 เพื่อเป็นแนวทางให้ประเทศต่างๆ ในโลก นำไปปรับใช้ตามลำดับความสำคัญก่อนหลัง เพื่อที่จะบรรลุถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน อันจะทำให้คนทั้งรุ่นปัจจุบันและอนาคตมีทรัพยากรธรรมชาติอย่างพอเพียงที่จะตอบสนองความต้องการต่างๆในการดำรงชีวิตเพื่อความกินดีอยู่ดี
Agenda 21 กล่าวไว้ว่า ประชากร การบริโภค และเทคโนโลยี เป็นพลังผลักดันหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมและมีความจำ เป็นต้องดำเนินการอะไรบ้างเพื่อที่จะลดรูปแบบของการบริโภคที่ฟุ่มเฟือยและ ไร้ประสิทธิภาพในบางส่วนของโลก ในขณะที่สนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพิ่มขึ้นในส่วนอื่น ๆ ของโลกAgenda 21 ยังเสนอนโยบายและแผนงานในการที่จะบรรลุถึงความสมดุลอย่างยั่งยืนระหว่างการบริโภค ประชากร และสมรรถนะของโลกในการค้ำจุนสิ่งมีชีวิต (Earth's life supporting capacity) รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีและเทคนิคต่างๆ ที่จะตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ในขณะเดียวกันกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างระมัดระวัง
Agenda 21 เสนอแนวทางต่างๆ เพื่อต่อสู้กับความเสื่อมโทรมของดิน อากาศและน้ำ และเสนอแนวทางเพื่ออนุรักษ์ป่าไม้และความหลากหลายชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต การต่อสู้กับความยากจน แก้ไขการบริโภคที่ฟุ่มเฟือย การวางแผนและการจัดการกับการศึกษา สุขภาพอนามัย การแก้ปัญหาของเมืองใหญ่ๆ และของเกษตรกร กล่าวถึงบทบาทของทุกๆ กลุ่มไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล นักธุรกิจ สหภาพแรงงาน นักวิทยาศาสตร์ อาจารย์ คนพื้นเมือง สตรี เด็กและเยาวชน Agenda 21 กล่าวย้ำว่า การพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นหนทางที่จะเอาชนะทั้งในเรื่องของความยากจนและการทำลายสิ่งแวดล้อม
ปัจจุบัน เราประเมินความสำเร็จของการพัฒนาเศรษฐกิจส่วนใหญ่ในรูปของตัวเงิน ระบบบัญชีซึ่งวัดค่าความมั่งคั่งของประเทศจำเป็นต้องนำเอาคุณค่าเต็มจำนวน(full value) ของทรัพยากรธรรมชาติ และค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนเต็มจำนวน (full cost) จากการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมในการพัฒนามาคิดคำนวณไว้ด้วย โดยหลักการผู้ที่ทำให้เกิดมลพิษ (polluters) ควรจะเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ในการลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายนั้น ควรมีการประเมินผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมก่อนที่จะเริ่มดำเนินโครงการต่างๆ รัฐบาลควรลดหรือยกเลิกเงินอุดหนุนต่างๆ ที่ไม่สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วย
หัวข้อหลักของ Agenda 21 ข้อหนึ่งก็คือความจำเป็นที่จะขจัดความยากจนโดยให้ประชาชนที่ยากไร้มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืนได้มากยิ่งขึ้น ในการให้ความเห็นชอบต่อ Agenda 21 ประเทศอุตสาหกรรมทั้งหลายต่างยอมรับถึงบทบาทในการแก้ไขสิ่งแวดล้อมมากกว่าประเทศที่ยากจนซึ่งได้ก่อให้เกิดมลพิษ (pollution) น้อยกว่าประเทศที่ร่ำรวยยังให้คำมั่นที่จะให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนประเทศอื่นๆ ดำเนินการพัฒนาในลักษณะที่เกิดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมน้อยลง นอกเหนือจากด้านการเงินแล้ว ประเทศที่ยากจนต่างๆ จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือในการเสริมสร้างความชำนาญการหรือสมรรถนะ (capacity) ในการที่จะวางแผนและดำเนินงานเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้ ทั้งนี้จำเป็นต้องมีการถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารและทักษะด้วย ระหว่างประเทศที่ร่ำรวยและประเทศที่ยังยากจนอยู่
Agenda 21 ยังเรียกร้องให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ ดำเนินกลยุทธ์การพัฒนาประเทศในลักษณะที่ยั่งยืนโดยการเปิดโอกาสให้กลุ่มต่างๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง แม้ว่ารัฐบาลจะมีความรับผิดชอบหลักในการชี้นำเพื่อการเปลี่ยนแปลง แต่จำเป็นต้องดำเนินงานโดยความร่วมมือกับฝ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์การระหว่างประเทศ ภาคธุรกิจ รัฐบาลมลรัฐ องค์กรส่วนจังหวัดและส่วนปกครองท้องถิ่น องค์กรเอกชนตลอดจนกลุ่มประชาชนในระดับต่างๆ
Agenda 21 ยังกล่าวด้วยว่าความร่วมมือและความรับผิดชอบร่วมกันในระดับโลก (global partnership) เท่านั้นที่ทำให้มั่นใจว่าทุกๆ ประเทศจะมีอนาคตที่ยั่งยืนและปลอดภัยร่วมกันมากยิ่งขึ้น
Agenda 21 ได้คำนึงถึงองค์ประกอบสำคัญสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 4 ส่วน คือ มิติทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ (Social and Economic Dimensions) การอนุรักษ์และการจัดการทรัพยากร (Conservation and Management of Resources) การส่งเสริมบทบาทของกลุ่มต่างๆที่สำคัญ (Strengthening the Role of Major Groups) และวิธีการในการดำเนินงาน (Means of Implementation) โดยสามารถประมวลแนวทางที่สำคัญได้ดังต่อไปนี้
1.  การพัฒนาเศรษฐกิจจะต้องผสมผสานและควบคู่ไปกับการพัฒนาและความห่วงใยในสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมไม่อาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะพิจารณาอีกต่อไป การที่จะเพิ่มรายได้และจัดหางานให้ประชาชนนั้น ควรจะกระทำไปพร้อมๆ กับการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนและสิ่งแวดล้อม
2.  การใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือย การสูญพันธุ์ของพืชและสัตว์ การปล่อยของเสียและมลพิษต่างๆเป็นสาเหตุที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมไม่ยั่งยืน ซึ่งไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนี้อีกต่อไปได้ เพราะเป็นการทำลายสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตในโลก
3.  จะต้องมีการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเนื่องจาก(1) มีผลกระทบอย่างเฉียบพลันต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ (2) เกิดผลกระทบต่อประชากรรุ่นลูกรุ่นหลานในอนาคต
4.  มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจน ก็มีสิทธิเท่าเทียมกันในอันที่จะดำรงชีวิตความเป็นอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ได้ดื่มน้ำที่สะอาด หายใจในอากาศที่บริสุทธิ์ และสามารถที่จะควบคุมการใช้ทรัพยากรของตนเองได้
Agenda 21 ส่วนที่หนึ่ง : มิติทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ (Section 1 : Social and Economic Dimensions)
·       ความร่วมมือระหว่างประเทศ
·       การต่อสู้กับความยากจน
·       การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการบริโภค
·       ประชากรและความยั่งยืน
·       การคุ้มครองและเสริมสุขภาพมนุษย์
·       การตั้งถิ่นฐานมนุษย์อย่างยั่งยืน
·       การตัดสินใจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ส่วนที่สอง : การอนุรักษ์และการจัดการทรัพยากร (Section 2 : Conservation and Management of Resources)
·       การคุ้มครองชั้นบรรยากาศของโลก
·       การจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน
·       การแก้ไขปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า
·       การแก้ไขปัญหาการแปรสภาพเป็นทะเลทรายและความแห้งแล้ง
·       การพัฒนาอย่างยั่งยืนในพื้นที่ภูเขา
·       การเกษตรอย่างยั่งยืนและการพัฒนาชนบท
·       การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
·       การจัดการเทคโนโลยีชีวภาพ
·       การคุ้มครองและการจัดการมหาสมุทร
·       การคุ้มครองและการจัดการแหล่งน้ำจืด
·       การใช้สารเคมีเป็นพิษอย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
·       การจัดการของเสียที่เป็นอันตราย
·       การจัดการของเสียที่เป็นของแข็งและน้ำโสโครก
·       การจัดการกากกัมมันตรังสี
ส่วนที่สาม : การส่งเสริมบทบาทของกลุ่มที่สำคัญๆ (Section 3 : Strengthening the Role of Major Groups)
·       อารัมภบทในการส่งเสริมบทบาทของกลุ่มที่สำคัญๆ
·       สตรีในการพัฒนาอย่างยั่งยืน
·       เด็กและเยาวชนในการพัฒนาอย่างยั่งยืน
·       การส่งเสริมบทบาทของคนพื้นเมือง
·       ความร่วมมือกับองค์กรเอกชน (NGOs)
·       รัฐบาลท้องถิ่น
·       คนงานและสหภาพแรงงาน
·       ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม
·       นักวิทยาศาสตร์และนักเทคโนโลยี
·       การส่งเสริมบทบาทของเกษตรกร
ส่วนที่สี่ : วิธีการในการดำเนินงาน (Section 4 : Means of Implementation)
·       การเงินสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน ท การถ่ายทอดเทคโนโลยี
·       วิทยาศาสตร์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
·       การศึกษา ฝึกอบรม และการตระหนักของสาธารณชน
·       การสร้างสมรรถนะเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
·       การจัดองค์กรเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
·       กฎหมายระหว่างประเทศ
·       ข้อมูลข่าวสารเพื่อการตัดสินใจ 

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การศึกษาของไทยในกรอบอาเซียน







กระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดกรอบและแนวทางในการปฏิบัติด้านการศึกษาของไทย เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนใน ปี 2558 ที่จะถึงนี้ โดยกำหนดกรอบอาเซียนแนวทางการศึกษาไทยดังนี้
1.สำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินงานภายใต้กรอบรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน กรอบประเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา เสริมสร้างความตะหนักเกี่ยวกับอาเซียน และการจัดตั้งสถาบันนานาชาติเพื่อพัฒนาผู้บริหารการศึกษา

2.สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีโครงการ Education Hub School และอยู่ระหว่างดำเนินโครงการ Spirit of ASEAN (Sister/Partner  School และ Buffer School) สำหรับกิจกรรมที่จะดำเนินการในปี 2554 คือการพัฒนาหลักสูตรและสื่อเกี่ยวกับอาเซียน รวมทั้งกิจกรรมค่ายเยาวชนเพื่อการเรียนรู้สู่ประชาคมอาเซียน

3.สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา มีโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษามาเลเซีย-อินโดนีเซีย-ไทย การประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้บริหารระดับสูงด้านการอุดมศึกษา และการจัดทำยุทธศาสตร์ด้านการอุดมศึกษาอาเซียน

4.สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โครงการเวทีแลกเปลี่ยนความรู้เกษตรนานาชาติ จัดการเรียนการสอนบริการสังคมร่วมกับนักศึกษาสิงคโปร์ โครงการแลกเปลี่ยนกับ Institute Of Technical Education Collage Eastสิงคโปร์ โครงการพัฒนาโรงเรียนเทคนิคลาว แลกเปลี่ยนนักศึกษาทวิภาคีระดับ ปวส.กับบรูไนฯ โรงเรียนพระราชทานฯ วิทยาลัยกำปงเฌอเตียลกัมพูชา ร่วมมือกับ SEAMEO SEAMOLEC ประเทศอินโดนีเซีย จัดการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้

5.สำนักเลขาธิการสภาการศึกษา จัดโครงการสัมมนาการวิจัยการศึกษาไทย-มาเลเซีย บรรยายทางวิชาการเรื่องความตะหนักเรื่องการก้าวสู่อาเซียน บรรยายเรื่องการจัดการศึกษาเพื่อปวงชนและคนด้อยโอกาสให้กับผู้แทนมาเลเซีย โครงการพัฒนานโยบายการศึกษาสู่อาเซียน:กรณีศึกษาไทย-ลาว-เวียดนาม โครงการความร่วมมือไทย-ลาว โครงการความร่วมมือไทย-เวียดนาม

6.สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จัดศูนย์การเรียนรู้ชุมชนให้ประเทศเพื่อนบ้าน อบรมเทคนิคการจัดนิทรรศการ การนำเสนอข้อมูล ส่งเสริมความรู้เรื่องความหลากหลายทางชีวภาพชุมชนในศูนย์วิทยาศาสตร์ของประเทศเพื่อนบ้าน

7.สำนักบริหารงานคณะกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ความรู้เรื่องอาเซียนแก่บุคลากร ใน สช.และโรงเรียนเอกชน สนับสนุนโรงเรียนเข้าแข่งขันกีฬาประถมศึกษาอาเซียนครั้งที่ 3 ที่ประเทศอินโดนีเซีย โครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนมัธยมศึกษาปี 2552 กับสิงคโปร์ ร่วมสัมมนาวิชาการและนิทรรศการ การศึกษาไทยที่ประเทศเวียดนาม

8.สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา คุรุสภาได้เข้าร่วมเป็นภาคีองค์กรสมาชิกสภาครูอาเซียน โดยร่วมกับองค์กรครูในกลุ่มประเทศอาเซียน 5ประเทศได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ก่อตั้งขึ้นในปี 2521 ปัจจุบันมีภาคีสมาชิก 23 องค์กรจาก 9 ประเทศ

9.เครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (AUN) ได้จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนนักศึกษาภายในอาเซียน มีการพัฒนาหลักสูตรและการประเมินหลักสูตรในสาขาวิชาต่างๆ เช่น เคมี คอมพิวเตอร์ วิศวกรรมศาสตร์ ฯลฯ

นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการยังได้พิจารณาแนวทางการดำเนินงานตามปฏิญญาอาเซียนด้านการศึกษาเพื่อกำหนดเป็นนโยบายดังนี้
1.การเผยแพร่ความรู้ ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับอาเซียน เพื่อสร้างความตระหนักและเตรียมความพร้อม ของครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา นักเรียน นักศึกษา และประชาชน เพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียน ภายในปี 2558

2.การพัฒนาศักยภาพของนักเรียน นักศึกษาและประชาชน ให้มีทักษะที่เหมาะสมเพื่อเตรียมความพร้อมในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนเช่นความรู้ภาษาอังกฤษ ภาษาเพื่อนบ้าน เทคโนโลยีสารสนเทศ ทักษะและความชำนาญที่สอดคล้องกับการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมและการเพิ่มโอกาสในการหางานทำของประชาชน

3.การพัฒนามาตรฐานการศึกษาเพื่อส่งเสริมการหมุนเวียนของนักศึกษาและครูอาจารย์ ในอาเซียน รวมทั้งให้มีการยอมรับในคุณสมบัติทางวิชาการร่วมกันในอาเซียน การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาต่างๆและการแลกเปลี่ยนเยาวชน การพัฒนาระบบการศึกษาทางไกล ซึ่งช่วยสนับสนุนการศึกษาตลอดชีวิต การส่งเสริมและปรับปรุงการศึกษาด้านอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมทางอาชีพทั้งในขั้นต้นและขั้นต่อเนื่อง ตลอดจนส่งเสริมและเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาของประเทศสมาชิกอาเซียน

4.การเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดเสรีทางการศึกษาในอาเซียน เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประกอบด้วย การจัดทำความตกลงยอมรับด้านการศึกษา การพัฒนาความสามารถ ประสบการณ์ในสาขาวิชาชีพสำคัญต่างๆ เพื่อรองรับการเปิดเสรีการศึกษาควบคู่กับการเปิดเสรีด้านการเคลื่อนย้ายแรงงาน

5.การพัฒนาเยาวชนเพื่อเป็นทรัพยากรสำคัญในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน

รมว.ศธ. ได้มอบหมายให้องค์กรหลักเตรียมจัดทำแผนการดำเนินงานและแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมการรองรับในเรื่องดังกล่าว โดยให้พิจารณาถึงระบบการศึกษาในอาเซียนและ นโยบายของประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้เกิดความร่วมมืออย่างแท้จริงในอาเซียนต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การศึกษาทางเลือก "บนลู่ทางอนาคต"เยาวชนไทย

            การศึกษาทางเลือก "บนลู่ทางอนาคต"เยาวชนไทย

            ภาพรายงานของสื่อมวลชน ที่รัฐบาลใช้แสดงความสำเร็จถึงนโยบาย การปฏิรูปการศึกษา ตาม พ.ร.บ.การศึกษาใหม่ กำลังดำเนินไปอย่างตื่นเต้น มีตัวเลข เป็นรูปธรรม ในขณะที่หากเหลียวมองคุณภาพการศึกษาผ่านตัวเด็กๆ สู่อนาคตและพินิจความคาดหวังของสังคม ยังริบหรี่ไร้ทิศทาง เพราะกระบวนการปฏิรูปการศึกษา ถูกผลักดันสู่การปฏิบัติผ่านกลไกรัฐ ซึ่งก็คือกระทรวงศึกษาธิการ ที่ยังคับแคบทั้งในเชิงเนื้อหา คุณค่าและวิธีการ แม้ว่าหลายหน่วยงานมีความมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปก็ตาม
            สังคมไทยเฝ้ารอรับฟัง ยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ยุทธวิธีที่เป็นรูปธรรม รูปแบบการปฏิบัติที่สอดคล้องทั้งภาครัฐและภาคประชาชน โดยกระทรวงศึกษาธิการ เป็นเรี่ยวแรง แต่การรอชื่นชมถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ทั้งเรื่องวิธีการคิด วิธีการเรียนการสอน จากสถาบัน ยังห่างต่อแนวคิดการปฏิรูป และชุมชนเองก็ตระหนักที่จะเข้าไปมีบทบาทกับกระบวนการเรียนรู้ของลูกหลานนั้นยังน้อย จึงแต่รอการกลับมาอย่างอบอุ่นเห็นค่าของบุตรหลาน แต่ยิ่งรอความหวังยิ่งลางเลือน ความสำเร็จที่ฉายชัดผ่านสื่อมวลชนที่รัฐบาลปัจจุบันกล่าวถึง จึงเป็นเพียงการเสนอข่าวปรับรูปแบบการสอบเข้า Entrance การรับเด็ก การจัดโซน การแจกเทคโนโลยี เท่านั้น
            แต่สิ่งที่ไม่เคยกล่าวถึง สำคัญและต้องลงลึกมองให้เห็น นั่นคือองค์รวมของกระบวนการสร้างสรรค์และสืบสานภูมิปัญญาของเยาวชนไทย จากรุ่นหนึ่งสู่หนึ่ง ผ่านเรื่องราว กิจกรรมทั้งในชีวิตจริงและจำลองขึ้น ผ่านประวัติศาสตร์ของการดิ้นรนต่อสู้ สังสันทน์ทางวัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อแต่ละศาสนา แต่ละชุมชน ซึ่งนี่ก็คือ"การศึกษาเพื่อชีวิต" ทางเลือกของการเรียนรู้ที่สำคัญสัมพันธ์ทั้งตนเอง ชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ

            สาทร สมพงษ์ ครูธรรมชาติแห่งโรงเรียนใต้ร่มไม้ ริมเทือกเขาบรรทัด อ.ป่าบอน พัทลุง ซึ่งบุกเบิกและนำพาเด็กๆ ในชุมชนต่างๆ โลดแล่นอยู่กับเรื่องราวของผื่นไพร กับนิทานสายน้ำ "สาทร สมพงษ์ " ในค่ำคืนหนึ่ง ได้เผยมุมมอง แนวคิดถึงที่มา คุณค่าและความหมายของการศึกษาทางเลือก ผ่านทีมงานไทยเอ็นจีโอ ว่า "เดี๋ยวนี้ เราเข้าใจว่า "การศึกษาต้องไปโรงเรียน" ดังนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ไปโรงเรียน หรือเรียนแค่ป.4 ก็เลยรู้สึกว่า ตัวเองไม่มีการศึกษา ซึ่งตรงนี้เองที่ทำให้ผมอยากเปลี่ยนวัฒนธรรมการศึกษา ที่ชาวบ้านหรือชุมชน หรือครอบครัว ก็ได้ ที่ไม่ใช่สถาบันรัฐ สามารถจัดการศึกษาเองได้อย่างมีศักดิ์ศรี ก็เลยคิดว่า ปัจจุบันนี้มีชาวบ้านจัดกระบวนการศึกษากันเองเยอะ ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศในรูปของกิจกรรมต่างๆ ที่หลากหลาย งานวิจัยเรื่องการศึกษาทางเลือกของผมจึงแบ่งออกเป็น setting ดังนี้

1.กลุ่มการเรียนรู้ผ่านกิจกรรม เช่น กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มการจัดการทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็น ป่า ทะเล กลุ่มอาชีพ กลุ่มผู้หญิง เป็นต้น เหล่านี้คือกลุ่มเรียนรู้ผ่านกิจกรรม ซึ่งแต่ละกิจกรรมต่างก็ก่อให้เกิดการเรียนรู้แก่พวกเขา ได้พัฒนาคุณภาพชีวิตขึ้นมา ดั่งนั้น งานของผมที่ศึกษาและวิจัยการศึกษาทางเลือกภาคใต้ ซึ่งผมได้ เข้าไปศึกษาภูมิหลังขององค์กรต่างๆ ว่ามีกระบวนการเรียนรู้อย่างไร มีวัตถุประสงค์อะไร เนื้อหาแบบไหน กระบวนการหรือรูปแบบของเขาทำอย่างไร ผลลัพธ์ออกมาอย่างไรบ้าง เหล่านี้คือเป้าหมายการลงไปศึกษากระบวนการเรียนรู้ทางเลือกภาคใต้ ครับ
ส่วนความแตกต่างที่ผมค้นพบเปรียบเทียบกับการศึกษาในระบบ ได้ชัดๆ คือ การศึกษาทางเลือกนั้นเป็นเรื่องของการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทัศนคติ พัฒนการคิด การเชื่อ พัฒนาจิตใจ จิตวิญญาณเป็นหลัก แต่การศึกษาสมัยใหม่ เขาจัดอย่างนี้ แบบนี้ เช่น การศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี ก็ศึกษาเพียงเพื่ออ่านออกเขียนได้ เพื่อช่วยในการประกอบอาชีพ คือเป้าหมายมันจำเพาะมาก ซึ่งมันหนักแต่เรื่องการเรียนหนังสือ แต่เรื่องการเรียนชีวิต การจัดการชีวิต จัดการสังคม ทรัพยากร นั้นไม่มี อย่าง พ.ร.บ.การศึกษา มาตรา 18 ที่พูดถึงการจัดการศึกษาโดยชุมชน ชาวบ้าน หรือโดยครอบครัว เหล่านี้ ล้วนคิดในกรอบเพื่อจัดการศึกษาในขั้นพื้นฐาน 12 ปี ยังไม่ใช่การพูดถึงการจัดการศึกษาในรูปกิจกรรม ที่ชุมชนจัด ซึ่งกระบวนเหล่านี้คือการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และเรากำลังรณรงค์เคลื่อนไหวในเรื่องนี้อยู่ เพื่อให้ พ.ร.บ.ระบุไป ไม่ใช่แค่เรื่องจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน แต่เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ใครบ้างและอย่างไร แล้วรัฐคอยให้ทรัพยากรสนับสนุน ซึ่งมาตรา 18 ควรจะครอบคลุมตรงนี้ด้วยนะครับ

2.กลุ่มภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่พ่อครูแม่ครู จัดอบรมให้แก่เด็ก ทั้งเรื่องศิลปะ วัฒนธรรม ทั้งหมอกลางบ้าน หมอพื้นบ้าน เรื่องแพทย์สมุนไพร เหล่านี้คือกระบวนการเรียนรู้ให้กับเด็ก เยาวชน หรือผู้สนใจเช่นกัน ซึ่งรูปแบบเหล่านี้ก็มีทั่วประเทศ

3. กระบวนการเรียนรู้ผ่านสื่อ คนทำสื่อ ไม่ว่าจะเป็นคนทำ web ต่างก็ก่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ ให้กับคนที่เปิดเว็บเข้าไป หรือคนที่จัดรายการวิทยุดีๆ รายการโทรทัศน์ดีๆ เช่น รายการทุ่งแสงตะวัน เหล่านี้ ล้วนเป็นกระบวนการศึกษาทางเลือกทั้งสิ้นครับ

4.การศึกษาในรุปแบบกลุ่มทางศาสนา อย่างเช่น สวนโมกข์ ที่จัดอบรมเรื่องอาณาปณสติ เรื่องศาสนา หรืออย่างชุมชนอโศกที่จัดการศึกษาเรื่องความเป็นมนุษย์ ก็ถือว่าเป็นการศึกษาทางเลือกเช่นกัน เพราะทำให้เกิดการเรียนรู้จักการดำเนินชีวิต

5.สถาบันนอกระบบรัฐ
เช่น สถาบันสลาตันของอาจารย์วิชัย สำนักแม่ชีเสถียรธรรม มหาลัยเที่ยงคืน วิทยาลัยวันศุกร์ ก็ถือว่าเป็นสถาบันนอกระบบรัฐ ทั้งนั้น เขามีการจัดกระบวนเรียนรู้ให้กับประชาชน ซึ่งมีผลก่อให้เกิดการยกระดับชีวิต จิตใจ เป็นอีกหนึ่งการศึกษาทางเลือก

6.สถาบันที่อิงระบบรัฐ อย่างโรงเรียนต่างๆ ที่จัดการศึกษาให้เด็กๆ นอกหลักสูตร เช่น พาเด็กๆ ไปเรียนรู้วิถีชาวบ้าน เรียนรู้กับพ่อครูแม่ครู ก็นับได้ว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้แบบองค์รวม ซึ่งเป็นการศึกษาทางเลือกเช่นกัน

7.Home school หรือการจัดการศึกษาเองในครอบครัว ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ให้กับเด็ก สำหรับเด็กที่ชอบสนุกกับการเรียนอยู่กับบ้าน มากกว่าโรงเรียน ซึ่งก็มีหลายท่านที่ค้นพบแนวทางนี้ จนมาเปิด home school รุ่นแรกๆ อย่างคุณหมอโชติช่วง ซึ่งท่านเคยผ่าน home school แล้วก็ไปเรียนต่อระบบข้างนอกจนจบ แล้วไปต่ออเมริกา ซึ่งก็สามารถเรียนได้ปกติ แต่การเรียนแบบนี้บางเรื่องก็อาจจะได้น้อยกว่า แต่บางเรื่อง ก็เรียนรู้ได้ลึกซึ้งกว่านะครับ

            สำหรับปัญหาการจัดกระบวนการการศึกษาทางเลือกนั้น บางส่วนก็เชื่อว่าขาดงบประมาณอยู่มาก สำหรับการทำการศึกษาทางเลือก แต่บางส่วนก็แจ้งว่า งบประมาณไม่ใช่ปัญหา เพราะเขาก็จัดของเขาไปได้ ซึ่งปัญหาก็แตกต่างกันออกไป อย่างกรณีเกาะยาว พังงา นะครับ คุณครูในโรงเรียนก็มาจากลูกหลานชาวบ้าน แต่กลับไม่ยอมรับที่จะให้องค์กรชาวบ้านเข้าไปร่วมจัดการศึกษาให้กับเด็ก ไม่เห็นความสำคัญที่จะให้เด็กๆ ไปดูพ่อแม่ลงอวน ลงไซ ลงทะเลอย่างไร เพราะเขาไม่เชื่อมั่นว่า นี่คือการเรียนรู้ นี่คือการศึกษา เพราะการศึกษา คือการมานั่งเรียนเลข เรียนภาษา เรียนวิทยาศาสตร์ นั่นคือการศึกษาของเขา ไม่ใช่เรื่องการไปเรียนเรื่องทะเล การจับปลา การดูแลป่า 

            เพราะบทบาทการศึกษาทางเลือกในอนาคต จำเป็นและสำคัญมาก เนื่องจากคนเดี๋ยวนี้พูดได้เลยว่า ป่วยไข้ เพราะการศึกษามันตอบสนองไม่ได้ ทำให้ป่วยไข้ทางจิตวิญญาณ ทางสมอง มีแต่ความกังวล ความเครียด ความทุกข์ การหย่าร้าง หรือผิดหวังมากๆ ก็เครียด เด็กหลายคนขลุกอยู่กับเกมส์คอมพิวเตอร์ ซึ่งเมื่อมองการศึกษา ทำให้เห็นว่า ไม่รองรับการพัฒนาในทุกๆ ด้านของเด็ก มิติของชีวิตบางมิติ ไม่ได้รับการพัฒนา สมองบางส่วนที่มีหน้าที่ในการเจิรญเติบโต พัฒนาตามวัย แต่ไม่ได้รับการเรียนรู้หรือใช้มัน ทำให้คนในปัจจุบันนี้กระด้างมากขึ้น ในบางเรื่องบางอย่าง ขาดความละเอียดอ่อนในชีวิต ขาดความกลมกล่อม สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ในครอบครัวเองก็คุยในภาษาที่ต่างกันมาก สื่อความหมายกันยากขึ้นเรื่อยๆ ทะเลาะกันในปัญหาที่ง่ายขึ้น สังคมมันสับสนอลหม่านไปหมด ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็มาจาก พื้นฐานการศึกษาที่ไม่เอื้อให้มนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์ เป็นรากฐานที่ก่อให้เกิดปัญหาเชื่อมโยงไปอีกหลายๆ มิติครับ"นายสมพงษ์อธิบาย

 แหล่งข้อมูลจาก  http://www.thaingo.org/story3/news_altEducation_210446.htm

แนวโน้มการศึกษาไทยในครึ่งทศวรรษหน้า

แนวโน้มการศึกษาไทยในครึ่งทศวรรษหน้า

            การปฏิรูปการศึกษาไทยได้ดำเนินมากว่า 8 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 โดยฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างพยายามพัฒนาและดำเนินการปฏิรูปการศึกษาไทยอย่างมาก ซึ่งการจะพัฒนาการศึกษาไทยจะประสบความสำเร็จได้ในสภาพยุคที่เปลี่ยน แปลงอย่างรวดเร็วนี้ จำเป็นต้องวางแผนและดำเนินการในเชิงรุกร่วมด้วยนั่นหมายความถึงการให้ความ สำคัญกับการคาดการณ์แนวโน้มอนาคตทางด้านการศึกษา เพื่อนำมาใช้ประกอบการจัดการศึกษาไทยได้สอดคล้องสภาพการเปลี่ยนแปลง หลีกเลี่ยงอุปสรรคปัญหา และใช้ประโยชน์สูงสุดจากแนวโน้มอนาคตที่จะมาถึง
           เมื่อปี 2549 ที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญจากสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ให้เป็นที่ปรึกษาในโครงการวิจัยเรื่อง ผลกระทบโลกาภิวัตน์ต่อการจัดการศึกษาไทยในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลประกอบการกำหนดนโยบายและแผนของกระทรวงศึกษาธิการ โดยผลวิจัยได้พบแนวโน้มสำคัญของการศึกษาไทยใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการที่กระแสโลกาภิวัตน์ได้กระทบต่อสังคมและประชากร เศรษฐกิจและอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม และการเมืองการปกครอง ซึ่งมีทั้งที่เป็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในด้านบวก และด้านลบ โดยบทความนี้ผมนำมาเสนอบางประเด็นที่สำคัญ ดังนี้

1. แนวโน้มด้านบวก

1.1 หลักสูตรใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก จากการเปลี่ยนแปลงและการ แข่งขันในด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ทำให้คนในสังคมต้องการเพิ่มความรู้ความสามารถให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง จึงหันมาสนใจศึกษาต่อในหลักสูตรที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ ดังนั้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของคนในสังคมสถาบันการศึกษาจึงมุ่งพัฒนาหลักสูตร ใหม่ ๆ อาทิ หลักสูตรที่บูรณาการระหว่างสองศาสตร์ขึ้นไป เช่น ระดับอาชีวศึกษาหลักสูตรเดียวจะมีหลายสาขาวิชา เรียนช่างยนต์จะผนวกการตลาดและการบัญชีเข้าไปด้วย เป็นต้น หลักสูตรที่ให้ปริญญาบัตร 2 ใบ และมีการพัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัยตลอดเวลา

1.2 หลักสูตรนานาชาติมีแนวโน้มมากขึ้น เนื่องจากสภาพยุคโลกาภิวัตน์ที่มีการเชื่อมโยงด้านการค้าและการลงทุน ทำให้ตลาดแรงงานในอนาคตต้องการคนที่มีความสามารถด้านภาษาต่างประเทศ ส่งผลให้ความต้องการการศึกษาที่เป็นภาษาสากลมีมากขึ้น ที่สำคัญการเปิดเสรีทางการศึกษา ยังเป็นโอกาสให้สถาบันการศึกษาจากต่างประเทศเข้ามาจัดการศึกษาในประเทศไทย และเปิดหลักสูตรภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ฯลฯ ยิ่งมีส่วนกระตุ้นให้หลักสูตรการศึกษานานาชาติมีแนวโน้มได้รับความนิยมมาก ขึ้น แต่เนื่องจากหลักสูตรนานาชาติมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น การเรียนในหลักสูตรนี้ยังคงจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้เรียนที่มีฐานะดี

1.3 การจัดการศึกษามีความเป็นสากลมากขึ้น สภาพโลกาภิวัตน์ ที่มีการเชื่อมโยงในทุกด้านร่วมกันทั่วโลก ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายองค์ความรู้ กฎกติกา การดำเนินการด้านต่าง ๆ ทั้งการค้า การลงทุน การศึกษา เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เชื่อมต่อถึงกัน ประกอบการเปิดเสรีทางการศึกษา ส่งผลให้เกิดการหลั่งไหลหลักสูตรการเรียนการสอน บุคลากรด้านการสอน หลักสูตร จากสถาบันการศึกษาต่างประเทศเข้าสู่ไทย อันมีผลทำให้เกิดการเปรียบเทียบและผลักดันให้สถาบันการศึกษาไทยต้องพัฒนาการ จัดการศึกษาที่มีความเป็นสากลที่เป็นที่ยอมรับ อีกทั้งการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนกับนานาประเทศของไทย ได้ส่งผลให้เกิดความต้องการการศึกษาที่มีคุณภาพทัดเทียมในระดับสากล

1.4 ความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสทางการศึกษาลดลง เนื่องจาก สภาพการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนที่เป็นกระแสระดับโลกเกิดขึ้นควบคู่กับคลื่น ประชาธิปไตยแผ่ขยายวงกว้างถึงไทย รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ส่งเสริมการเพิ่มสิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน อีกทั้งสภาพการใช้เทคโนโลยีส่งเสริมการเรียนการสอน ทำให้ช่องทางการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเข้าถึงคนได้อย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม อาจเป็นได้ว่าความเหลื่อมล้ำด้านโอกาสทางการศึกษาจะลดลงในกลุ่มสถาบันการ ศึกษาของรัฐ ส่วนการจัดการศึกษาโดยสถาบันการศึกษาเอกชน ผู้เรียนที่ครอบครัวมีรายได้น้อยอาจเข้ารับบริการทางการศึกษาได้ลดลง เนื่องจากค่าเล่าเรียนแพง

1.5 โอกาสรับบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น เมื่อ เปิดเสรีทางการศึกษา จะก่อเกิดการแข่งขันในการจัดการศึกษาทั้งจากสถาบันการศึกษาทั้งในและต่าง ประเทศมากขึ้น หากพิจารณาในแง่บวก การเปิดเสรีทางการศึกษา เป็นการสร้างโอกาสให้คนไทยได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ เนื่องด้วยสถาบันแต่ละแห่งจะแข่งด้านคุณภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันอุดมศึกษา คุณภาพการศึกษาจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากการเปิดเสรีทางการศึกษา ที่เปิดโอกาสให้สถาบันอุดมศึกษาต่างชาติเข้ามาเปิดการเรียนการสอน จึงเป็นแรงกดดันให้สถาบันอุดมศึกษาไทยต้องพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้สูงขึ้น

2. แนวโน้มด้านลบ

2.1 การเพิ่มช่องว่างด้านคุณภาพในการจัดการศึกษา แม้ว่าสภาพ การแข่งขันทางการศึกษาจะเป็นแรงผลักให้สถาบันการศึกษาต่าง ๆ เร่งพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนมากขึ้น แต่เนื่องจากทรัพยากรตั้งต้นของแต่ละสถาบันการศึกษามีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้ความสามารถและปริมาณของบุคลากรการศึกษา งบประมาณ เงินทุน เทคโนโลยี สถานที่ ความมีชื่อเสียง ฯลฯ ส่งผลให้โอกาสพัฒนาคุณภาพการศึกษาย่อมแตกต่างกันด้วย โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาขนาดเล็ก หรือสถาบันการศึกษาที่ยังไม่มีความพร้อม/มีทรัพยากรตั้งต้นไม่มาก ย่อมไม่มีศักยภาพเพียงพอในการพัฒนาคุณภาพมากนัก

2.2 การผลิตบัณฑิตเกินความต้องการของตลาด เนื่องจากความ ต้องการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษามีสูงขึ้น และการพัฒนาไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐที่ต้องหาเลี้ยงตนเอง มีอิสระในการบริหารและเปิดหลักสูตรเพื่อหาผู้เรียนเข้าเรียนให้ได้จำนวนมาก สิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบระยะยาวคือ มีบัณฑิตจบเป็นจำนวนมากเข้าสู่ตลาดแรงงานไม่สามารถรองรับได้หมด โดยกลุ่มแรงงานระดับอุดมศึกษาที่ไม่มีคุณภาพหรือไม่จบจากสาขาที่ตลาดแรงงาน ต้องการ จะถูกผลักสู่แรงงานนอกระบบ หรือหาทางออกโดยเรียนต่อระดับสูงขึ้น ซึ่งอาจก่อเกิดภาวะแรงงานระดับปริญญาโทและเอกไม่มีคุณภาพและล้นตลาดตามมา เช่นกัน

2.3 การสอนทักษะการคิดและทักษะทางอารมณ์ยังไม่มีคุณภาพ สภาพ เศรษฐกิจที่มุ่งแข่งขัน ทำให้การจัดการศึกษามุ่งพัฒนาทางวิชาการเป็นสำคัญ ในขณะที่ระบบการศึกษาไทยยังไม่สามารถพัฒนาทักษะการคิดของผู้เรียนได้เท่าที่ ควร เนื่องจากการเรียนการสอนยังมุ่งสอนให้ผู้เรียนคิดตามสิ่งที่ผู้สอนป้อนความ รู้มากกว่าการคิดสิ่งใหม่ ๆ ประกอบกับครูผู้สอนมีภาระงานมาก จนส่งผลต่อการพัฒนาบุคคลในด้านอื่น เช่น การพัฒนาเชิงสังคม รวมถึงการพัฒนาทักษะทางอารมณ์ นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีในกิจวัตรประจำวันหรือใช้ในการเรียนการสอนทำให้การปฏิ สัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ลดลง ส่งผลให้ช่องทางการพัฒนาทักษะทางอารมณ์และทักษะทางสังคมของผู้เรียนลดลงด้วย

2.4การสอนคุณธรรมจริยธรรมยังไม่มีคุณภาพ แนวคิดของทุน นิยมที่มุ่งแข่งขันได้แพร่กระจายไปทั่วโลก ส่งผลให้ผู้คนต่างมุ่งแข่งขัน และพัฒนาความรู้ความสามารถ เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ประกอบกับสถาบันการศึกษาจำนวนมากมุ่งพัฒนาความรู้ทางวิชาการ และประเมินผลการเรียนที่ความสามารถทางวิชาการ จนอาจละเลยการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณธรรมจริยธรรม นอกจากนี้ การไม่ได้มีผู้สอนที่รู้เชี่ยวชาญด้านการสอนคุณธรรมจริยธรรมโดยตรงหรือมี คุณภาพ ย่อมส่งผลต่อคุณภาพการสอนของวิชาคุณธรรมจริยธรรมได้

2.5 การสอนภาษาต่างประเทศยังไม่มีคุณภาพ ยิ่งก้าวสู่โลกไร้พรมแดนมากขึ้นเท่าใด ผู้มีความรู้ด้านภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ หรือภาษาจีนที่ผู้คนส่วนใหญ่ในโลกใช้ติดต่อสื่อสาร เจรจาต่อรอง การค้า การศึกษา ฯลฯ ย่อมมีความได้เปรียบ ทั้งในเรื่องการติดต่อสื่อสารและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พบคือ การสอนภาษาอังกฤษ และภาษาต่างประเทศของไทยยังไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร เนื่องจากครูผู้สอนมีความสามารถด้านภาษาต่างประเทศค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะครูผู้สอนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครูจำนวนมากไม่ได้จบเอกภาษาอังกฤษโดยตรง และมีแนวโน้มว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า การพัฒนาการสอนทักษะภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษแม้ปัจจุบันจะตื่นตัวมากขึ้น แต่ยังไม่ก้าวหน้าไปมากเท่าที่ควร เพราะทรัพยากรด้านบุคลากรสอนภาษาต่างประเทศนี้ขาดแคลนมาก
             ผลกระทบของโลกาภิวัตน์ต่อการศึกษาไทยมีทั้งด้านบวกและด้านลบ ซึ่งหลีกเลี่ยงได้ยาก แต่การพัฒนาระบบการศึกษาไทยให้พร้อมต่อสภาพโลกาภิวัตน์ได้นั้น จำเป็นต้องเตรียมพร้อมในเชิงรุกตั้งแต่วันนี้ โดยรัฐควรเน้นการบริหารจัดการในส่วนที่ไทยได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภายในสถาบันการศึกษา สนับสนุนทุนวิจัยเพื่อพัฒนาการศึกษา และสร้างเครือข่ายภาคประชาชนเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนาการศึกษารอง รับกระแสโลกาภิวัตน์

แหล่งข้อมูลจาก http://www.kriengsak.com/node/77