หน่วยที่ ๒ แนวความคิดว่าด้วยรัฐและอำนาจอธิปไตย
๒.๑ คำนิยามของกรอบแนวคิดว่าด้วยรัฐ๒.๑.๑ ความหลากหลายของคำนิยามของแนวคิดว่าด้วยรัฐ
นักวิชาการจากหลฃายสาขา มไ่ว่าจะเป็น นักปรัชญา นักกฎหมาย นักมานุษยวิทยา เป็นต้นต่างให้ความสนใจเรื่อง รัฐ จึงทำให้มีคำนิยามที่หลากหลาย ในปี ๑๙๓๑ มีนักรัฐศาสตร์ท่านหนึ่งอ้างว่าสามารถรวมได้ ถึง ๑๔๕ คำนิยาม
- อริสโตเติ้ล ให้คำนิยามว่า รัฐคือชุมชนทางการเมืองที่มีสถานะสูงสุดเหนือชุมชนอื่น และรวบรวมเอาชุมชนอื่นๆไว้ทั้งหมด ดังนั้นรัฐจึงต้องมีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรลุความดีที่เหนือกว่าชุมชนอื่นๆ ที่อยู่ภายในรัฐ กล่าวคือ รัฐมีจุดมุ่งหมายสูงสุดคือความดี นั้นเอง
- Schleiermacher กล่าวว่า รัฐคือรูปแบบการดำรงชีวิตของประชาชน รัฐถือกำเนิดขึ้นเมื่อประชาชนโดยส่วนรวมเกิดความสำนึกใน ความเป็นเอกภาพ และมีผลทำให้กิจกรรมทางสังคมทั้งหลายมีความเป็นเหตุเป็นผลมากกว่าการเกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ
๒.๑.๒ รากศัพท์และที่มาของแนวคิดว่าด้วยรัฐในสมัยปัจจุบัน
- Bluntschi เห็นว่ามนุษย์ เป็นบุคคล เพราะว่าสามารถมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับกฎหมายและลัทธิ เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันในลักษณะที่เป็นรัฐ และการดำรงอยู่ของรัฐถูกำหนดโดยความสัมพันธ์ตามกฏหมายและสิทธิ รัฐจะมีจิตสำนึก มีปัญญา มีเจตนารมณ์ และเป็นบุคคลในทำนองเดียวกันกับที่ปัจเจกชนเป็นบุคคล
- คำว่า "รัฐ" แปลภาษาอังกฤษว่า "State" มีรากศัพท์มาจากคำว่า "Status" ซึ่งเดิมมีความหมายว่าเป็นสถานะของวัตถุหรือลำดับชั้น
- ประมาณศตวรรษที่ ๑๕ คำว่า State หรือ Status เริ่มมีความหมายที่ชัดเจนขั้นโดยมีความหมายว่า "เป็นรูปแบบเฉพาะอย่างหนึ่งของชุมชนทางการเมือง"
- นักรัฐศาสตร์ ในสมัยปัจจุบันบางคนมองว่ารัฐในลักษณะที่้ป็ฯสิ่งที่มีความเป็นนามธรรมและพวกมากซ์ซิสต์ได้มองว่ารัฐในฐานนะที่เป็นเครื่องมือของการกดขี่และครอบงำระหว่างชนชั้น
๒.๒ องค์ประกอบเบื้ิองต้นของความเป็นรัฐ
๒.๒.๑ องค์ประกอบเบื้องต้นที่สำคัญของความเป็นรัฐในทัศนะของนักรัฐศาสตร์
- นักรัฐศาสตร์อเมริกันที่ยึดการศึกษาแนววิเคราาะห์ในเชิงกฎหมายและสถาบัน เห็นว่ารัฐมีคุณสมบัติที่สำคัญ ๕ ประการคือ
- ประชากร
- ดินแดน
- รัฐบาล
- อำนาจอธิปไตย
- อิสระภาพ
- นักรัฐศานสตร์ด้านความสำพันธ์ระหว่างประเทศเช่น Rosenan เห็นว่ารัฐมีองค์ประกอบหลัก ๔ ประการคือ
- มีประชากรอาศัยอยู่อย่างถาวร
- มีดินแดนที่ชัดเจน
- มีรัฐบาล
- มีความสามารถที่จะมีความสัมพันธ์กับรัฐอื่น
๒.๒.๒ ข้อเสนอแน ะเพิ่มเติมของคุณสมบัติเบื้องต้นของความเป็นรัฐ
Claessen และ Skalnik เห็นว่าคุณสมบัติเบื้งต้นของรัฐยังไม่มีความชัดเจนพอ จึงเสนอเพิ่มเติม
- เสนอว่ารัฐจะต้องมีประชากรตั้งแต่ ๕๐๐ คนขึ้นไป
- ความเป็นประชาชน ถูกกำหนดโดยการถือกำเนิด หรือ การอยู่อาศัยอย่างถาวร
- รัฐบาลมีลักษณะรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง และมีอำนาจพอที่จะรักษกฎหมาย ความเป็นระเบียบ และการป้องกันประเทศ
- รัฐจะต้องมีความเป็นเอกราชอย่างน้อยสุดได้แก่ความเป็นเอกราชโดยพฤตินัย(ไม่ถูกแทรกแซงการปกครอง)
- ลักษณะของประชากร แสดงให้เห็นว่ามีชนชั้นอย่างน้อย ๒ ชนชั้นคือ ผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง
- มีการผลิตสูงพอที่จะทำให้เกิดมูลค่าส่วนเกินสม่ำเสมอเพื่อทำนุบำรุงองค์กร
- มีอุดมการณ์ร่วมกันใช้เป็นฐานแห่งความชอบธรรมในการใช้อำนาจปกครองของผู้ปกครอง
๒.๓ ทฤษฏีว่าด้วยการกำเนิคและการกระทำหน้าที่ของรัฐ
๒.๓.๑ ทฤษฏีสัญญาประชาคม
- อันที่จริง ทฤษฏีนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง แต่ก็ได้รับความสนใจจากนักวิชาการ
- นักปรัชญาคนสำคัญที่เสนอความคิดนี้ได้แก่ ฮ็อบ , ล็อค และ รุสโซ
- สาระสำคัญของทฤษฏีนี้คือ สภาวะธรรมชาติ ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่มีมนุษย์อยู่ร่วมกันภายใต้กฎหมายธรรมชาติ ต่อมากฎหมายธรรมชาติไม่สามารถผูกพันธ์ให้มนุษย์อยู่ร่วมกันได้ จึงกลายเป็น สภาวะสงคราม มนุษย์จึงตกลงที่จะสละสิทธิตา่มธรรมชาติบางส่วนให้กับองค์อธิปัตย์กระทำสัญญาร่วมกันจึงเข้าสู่ สภาวะความเป็นรัฐ
๒.๓.๒ แนวความคิดว่าด้วยการกำเนิดและการกระทำหน้าที่ของรัฐในทัศนะของมาร์กซิสต์
- เฮเกล เห็นว่ารัฐเป็นผลผลิตจากการพัฒนาของสังคม เมื่อสังคมพัฒนาถึงระดับหนึ่งแล้วเกิดความขัดแย้งหรือศรัตรูกันอย่างที่ไม่สามารถประนีประนอมกันได้ ความขัดแย้งดังกล่าวคือความขัดแย้งระหว่างชนชั้น ดังนั้นเพื่อไม่ให้ความขัดแย้งนี้รุนแรงจนเป็นอันตรายต่อการอยู่รอดของสังคม จึงจำเป็นต้องมีอำนาจ ขั้นเหนือสังคมเพื่อควบคุมความขัดแย้งนี้ จึงกล่าวได้ว่ารัฐที่เกิดขึ้นจากความจำเป็นเพื่อควบคุม ศัตตรูระหว่างชนชั้นเป็นรัฐที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง
- มากร์ซ์ เห็นว่ารัฐเป็นเครื่องมือในการกดขี่ของชนชั้นหนึ่งที่มีต่ออีกชนชั้นหนึ่ง เป้าหมายของรัฐคือการสร้างระเบียบขึ้นมาเพื่อให้การกดขี่นี้ถูกกฎหมาย สามารถคงอยู่ต่อได้ และการปะทะจะเบาบางลง
- Atonio Gramsci ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลี เห็นว่ารัฐ เป็นโครงสร้างเบื้องบนทางอุดมการณ์ รวมถึงระบบการศึกษาและศาสนาด้วย ซึ่งรัฐตามความหมายนี้จะมีอิทธิพลต่อทัศนะคติและสามารถถสร้างการยอมรับ ได้โดยการใช้ "Hegemony" เขามองว่าการครอบงำอำนาจทางปัญญานี้มีความสำึคัญกว่าการใช้กำลังบังคับ
แนวคิดว่าด้วยกำเนิดและหน้าที่ของรัฐตามทัศนะของมาร์กซิตส์เห็นว่า รัฐเป็นผลผลิตจากการพัฒนาของสังคมเอง เมื่อสังคมพัฒนามาถึงระดับหนึ่งและจะเกิดความขัดแย้งระหว่างชนชั้น จึงจำเป็นต้องมีการใช้อำนาจขึ้นเหนือสังคมเพื่อควบคุมความขัดแย้ง รัฐจึงเกิดขึ้น รัฐคือเครื่องมือในการครอบงำและกดขี่ของชนชั้นหนึ่งที่มีต่ออีกชนชั้นหนึ่ง
๒.๓.๓ ทฤษฏีว่าด้วยระบบชลประทาน
ได้แก่ทฤษฏีของ Steward และ Wittfogel ซึ่งได้รับอิทธิพลจากความคิดของ Marx เกี่ยวกับรูปแบบการผลิตแบบเอเชีย โดยมีการอธิบายว่า ระบบเศรษฐกิจของสังคมแบบเอเชียมีลักษณะของการเพาะปลูกอย่างกว้่างขวาง จึงมีความจำเป็นในการสร้างและบำรุงรักษาระบบชลประทาน รัฐจึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ฝ่ายที่จัดการ
๒.๓.๔ ทฤษฏีพิชิตอำนาจ
ได้แก่ทฤษฏีของ Steward และ Wittfogel ซึ่งได้รับอิทธิพลจากความคิดของ Marx เกี่ยวกับรูปแบบการผลิตแบบเอเชีย โดยมีการอธิบายว่า ระบบเศรษฐกิจของสังคมแบบเอเชียมีลักษณะของการเพาะปลูกอย่างกว้่างขวาง จึงมีความจำเป็นในการสร้างและบำรุงรักษาระบบชลประทาน รัฐจึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ฝ่ายที่จัดการ
๒.๓.๔ ทฤษฏีพิชิตอำนาจ
- เป็นทฤษฏีของ Franz Oppenheimer
- ได้แก่ ความคิดที่ว่ารัฐเกิดขึ้นจากคนกลุ่มหนึุ่งใช้กำลังพิชิตชนอีกกลุ่มหนึ่งให้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของพวกตน ผู้แพ้ต้องยอมอยู่ภายใต้การปกครองและจ่ายเครื่องบรรณาการให้ผู้ชนะ รัฐได้ถือกำเนิดขึ้นเนื่องจากความจำเป็นในการจัดองค์การเพื่อการปกครอง
๒.๓.๕ แนวความคิดว่าด้วยการกระทำหน้าที่ของรัฐในทัศนะของนักรัฐศาสตร์ในสมัยปัจจุบัน
- Leslie Lipson รัฐจะต้องมีขึ้นเพื่อสนองตอบความจำเป็นอันเป็นสากล ได้แก่การ พิทักษ์ปกป้อง ความาปลอดภัย หรือความมั่นคงในชีวิตและร่างกายของมนุษย์ ในลำดับต่อมาคือให้ความเป็นระเบียบ และท้ายที่สุดคือให้ึความยุติธรรม
ภาพที่ ๒.๑ แสดงถึงเป้าหมายของรัฐและเครื่องมือที่จะทำให้รัฐบรลุเป้าหมาย |
- Eckstien มีความเห็นว่ารัฐเกิดขึ้นเพื่อเป็นการตอบสนองทางด้านการกระทำหน้าที่ต่อความจาจลวุ่นวายของสังคมที่ครั้งหนึ่งเคยมีบูรภาพ รัฐสมัยใหม่ ที่เกิดขึ้นในยุโรปหลังสมัยกลางได้เกิดขึ้นเพื่อเป็นการตอบสนองต่อความสับสนวุ่นวายอันเนื่องมาจากผลของความเจริญทางด้านการค้าขายและอุตสาหกรรมชาติ ปัจจุบันรัฐกำลังเผชิญกับการท้าทายใหม่ คือการเกิดขึ้นของลัทธิ "บรรษัทนิยมใหม่" รัฐจะต้องกระทำหน้าที่พิเศษทางสังคมที่เหนือกว่าการทำหน้าที่ของบรรษัทหรือกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ภายใต้รัฐ หน้าที่ดังกล่าวนี้คือ การกระจายสิ่งที่มีคุณค่าในสังคมเสียใหม่
๒.๔ พัฒนาการของรัฐ
๒.๔.๑ พัฒนาการของรัฐก่อนยุคเกิดขึ้นของสหประชาชาติ
ตำราของ Jacop และ Libman ได้กล่าวถึงพัฒนาการรูปแบบของรัฐ ออกเป็น ๕ ยุคคือ
- รัฐเผ่าพันธุ์ น่าจะพัฒนาขึ้นมาจากครอบครัวขนาดใหญ่ โดยอาจเริ่มจากหลายครอบครัวที่เป็นเครื่ญาติกันและขยายตัวจนมีขนาดใหญ่ จนเกิดเป็นปกครองที่มีชนชั้น และมีองค์ประกอบของรัฐขึ้น
- รัฐจักรวรรดิตะวันออก คือ รัฐสมัยโบราณทางริมฝั่งแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส ได้แก่ จักรวรรดิเปอร์เซีย จักรวรรดิบาบิโลน จักรวรรดิสุเมเรียและอัสซิเรีย เป็นจักรวรรดิที่ปกครองโดยอ้าางอำนาจอันศักสิทธิของเทพเจ้า
- นครรัฐกรีก เป็นรัฐขนาดเล็ก อยู่บนดินแดนประเทศกรีกในปัจจุบัน ประมาณว่ามีอยู่ ๑๕๐ นครรัฐ โดยแต่ละนครรัฐมีรูปแบบการปกครองที่แตกต่างกัน ฮีโรโดตุส ได้กล่าวถึงการปกครอง ๓ รูปแบบของอารยธรรมกรีกโบราณ คือ การปกครองโดยคนๆเดียวหรือ ราชาธิปไตย การปกครองโดยคนจำนวนน้อยเรียกว่า คณาธิปไตย และการปกครองโดยคนจำนวนมาก เรียกว่า ประชาธิปไตย
- จักรวรรดิโรมัน มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม เนื่องจากมีความจำเป็นในการปกครองประชากรจำนวนมาก จักรวรรดิโรมันจึงให้ความสำคัญกับกฏหมายปละมีการตรากฏหมายขึ้นเรียกว่า " Jus Gentium"
- รัฐฟิวดัล เป็นรูปแบบของรัฐที่เกิดขึ้นหลังจากที่กรุงโรมแตก เหล่าขุนศึกและขุนนางต่างสร้างป้อมปราสาทของตัวเอง เองตัวเองว่า Lord และบังคับประชาชนให้เป็นทาสติดดิน เรียกว่้า Serf ต้องทำการเกษตร สร้างมูลค่าส่วนเกินให้แก่ Lord กษัติย์เป็นเพียงขุนนางคนหนึ่งที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำของตน นอกจากกษัตริย์และขุนนางแล้ว ยังมีศาสนจักร ที่มีอิทธิพลมากและคอยแย่งชิงอำนาจกันอยู่
๒.๔.๒ รัฐสมัยใหม่หรือ รัฐประชาชาติ
- รัฐสมัยใหม่หรือรัฐประชาชชาติ ค่อยๆได้รับการพัฒนาขึ้นมาหลังจากอำนาจของสันตะปาปาและศาสนจักร ลดลง ในระยะเริ่มแรก เป็นรัฐที่ปกครองในระบอบกษัตริย์ ต่อมามีการเปลี่ยนแปลง การปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย ในปัจจุบันประชาชาติได้กลายเป็นรูปแบบของรัฐที่ขยายไปทั่วโลก ลักษณะที่สำคัญความเป็นรัฐประชาชาติคือ ประชาชนเป็นพลเมืองทุกคนของรัฐ และมีความจงรักภักดีต่อรัฐ
๒.๕ รัฐกับอำนาจอธิปไตย
๒.๕.๑ แนวความคิดเรื่องอำนาจอธิปไตย
- เป็นแนวความคิดที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับการสร้างความชอบธรรมในการใช้อำนาจการปกครองของรัฐสมัยใหม่
- Jean Bodin เสนอว่า อำนาจอธิปไตยคืออำนาจที่สุงสุด เหนือพลเมืองและประชาชนที่อาศัยอยู่บนดินแดนของรัฐ และเป็นอำนาจที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้
๒.๕.๒ ความไม่ชัดเจนของแนวความคิดเรื่องอำนาจอธิปไตย
๒.๖ วิกฤตการณ์ของรัฐประชาชาติในยุคโลกาภิวัตน์
๒.๖.๑ พัฒนาการของรัฐประชาชาติหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
- แนวความคิดเรื่องอำนาจอธิปไตยเป็นแนวความคิดที่ไม่ชัดเจนและสับสนอยู่ เนื่องจากคุณสมบัติสำคัญประการหนึ่งคือ อำนาจอะิปไตยไม่สามารถแบ่งแยกได้ ซึ่งหมายความว่าอำนาจสูงสุดจะต้องมีลักษณะรวมศูนย์ไปที่คนๆเดียวหรือกลุ่มเดียวซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงทางการเมือง
- แนวความคิดเรื่องอำนาจอธิปไตยยังมีปัญหามากเมือนำเอามาใช้กับการเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบัน ซึ่งอำนาจอธิปไตยหมายถึงอำนาจที่สมบูรณ์ที่รัฐมีอยู่เหนือดินแดนและพลเมืองของตน แต่พบว่าปรากฏการณ์แทรกแซงทางการเมืองจากประเทศมหาอำนาจเช่น การบังคับให้ประเทศโลกที่สามออกกฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การอ้างความชอบธรรมในการใช้แสนยานุภาพทางทหารให้กลุ่มก่อการร้ายที่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีอำนาจอธิปไตย การเกิดขึ้นของบริษัทข้ามชาติ ซึ่งแทบที่จะไม่ได้อยู่ภายอธิปไตยของประเทศใดประเทศหนึ่ง เป็นต้น
๒.๖ วิกฤตการณ์ของรัฐประชาชาติในยุคโลกาภิวัตน์
๒.๖.๑ พัฒนาการของรัฐประชาชาติหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
- ประเทศที่มีการปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ยังไม่มีทีท่าว่าจะสลายตัวไปตามแนวคิดของมาร์กและยังมีการปกครองในลักษณะเผด็จการอยู่
- ประเทศเสรีนิยม หรือประเทศทุนนิยมไม่่ว่าจะเป็นระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยมหรือระบอบสังคมนิยมประชาธิปไตยก็ตามมีแนวโน้มว่ารัฐจะขยายขอบข่ายบทบาทหรือการกระทำหน้าที่ในด้านต่างๆออกไปอย่างกว้างขวาง และในขณะเดียวกันได้มีการพัฒนาขยายด้านโครงสร้างของรัฐออกไปด้วย
- Richard Scase ได้สรุปแนวดน้มการพัฒนาของรัฐในปี ๑๙๘๐ ดังนี้
- ประเทศทุนนิยมตะวันตก รัฐได้เข้ามามีบทบาทในการรักษา เพิ่มพูนและปรับปรุงคุณภาพชีวิตมากขึ้น
- รัฐมีลักษณะการกดขี่มากขึ้น เนื่องจากการควบคุมของรัฐทางอ้อมถูกแทนที่โดยหน่วยงานต่างๆ
- การทำหน้าที่ต่างๆของรัฐมีลักษณะรวมศูนย์อำนาจยิ่งขึ้น
- รัฐได้เข้าไปแทรกแซงกระบวนการผลิตมากขึ้น
- เกิดข้อขัดแย้งมากขึ้นระหว่ารัฐกับระบบทุนนิยมโลก
๒.๖.๒ วิกฤตการณ์ของรัฐประชาชาติในยุคโลกาภิวัตน์
- พัฒนาการของความเจริญทางด้านวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีและการขยายตัวของระบบทุนนิยมของโลกได้ท้าทายต่อหลักการว่าด้วยอำนาจอธิปไตยของรัฐ และมีผลทำให้เกิดความพยายามของมหาอำนาจหรือประชาคมโลกที่จะแทรกแซงพฤติกรรมหรือการกระทำที่ถูกมองว่าไม่เหมาะที่เกิดขึ้นภายในพรมแดนของรัฐต่างๆ
- นอกจากนั้นยังเกิดการรวมตัวกันของรัฐเป็นหน่วยทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้น ในขณะเดียวกันเราก็เห็นปรากฏการณ์ของการยึดหดในอำนาจอธิปไตยของรัฐและการเสริมสร้างความเข็มแข็งของท้องถิ่นและการกระทำหน้าที่และบทบาทของภาครัฐหดตัวลง
++++++++++++++ แร้วจ้าาาา บทที่๒ ++++++++++++++
สนธิสัญญาเวสฟาเลีย (Treaty of Westphalia) ในปี 1648 เป็นจุดเริ่มต้นของ “รัฐสมัยใหม่” (modern state) ผู้ครองรัฐต่างๆ สามารถกำหนดนิกายศาสนาด้วยตนเอง ไม่จำต้องขึ้นกับศาสนจักรอีกต่อไป เป็นการยุติอำนาจฝ่ายโลกของคริสตจักรโรมันคาทอลิกที่มีมาตั้งแต่ยุโรปสมัยกลาง ผู้ปกครองแต่ละคนมีอำนาจสูงสุดเหนือดินแดน รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างในดินแดนนั้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นประชากร ทรัพยากรต่างๆ รัฐจึงเป็นสิ่งประดิษฐ์คิดค้น สามารถพัฒนาปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม
ตอบลบhttp://www.chanchaivision.com/2014/12/Modern-State-Primary-Actor-141228.html